5 ปีก่อนกับการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยครั้งสุดท้าย

ผมเหมือนกับนักส่วนใหญ่ที่ไปแข่งกีฬามหาวิทยาลัยคือ แข่งแล้วแพ้ ไม่ได้อะไรกลับมา นอกจากประสบการณ์ ครั้งสุดท้ายที่ผมลงแข่งรายการนี้คือกีฬามหาลัยฯ ม.ศรีนครินทรวิโรฒ (วิทยาเขต องครักษ์) เป็นเจ้าภาพ กีฬาที่ลงแข่ง “ไพ่บริดจ์” …เป็นหนึ่งในชนิดกีฬาที่แปลกที่สุด เพราะมันคือการ “เล่นไพ่” ดีๆนี่เอง

ถ่ายไว้ปี 47 ชุดที่ไปแข่งสุรนารี

ที่ผมได้มีโอกาสเข้าร่วมกีฬามหาวิทยาลัยได้ ย้อนไปปี 2547 ตอนนั้นเข้าคัดเลือกเป็นนักกีฬา “ชมรมครอสเวิร์ดและหมากกระดาน” ผมเข้าตัดเลือกกีฬาหมากฮอส กีฬาอย่างอื่นในชมรมเห็นคัดกันหลายคนอย่าง ครอสเวิร์ส แต่หมากฮอสมีคัดกันอยู่ 2 คน แล้วผมก็ผ่านได้เป็นนักกีฬา แต่การเป็นนักกีฬาของชมรมก็มีเรื่องแปลกอยู่อย่างคือ  กีฬาที่ผมลงแข่งใช้สมองเล่นเป็นหลัก ถ้าจะออกแรงอย่างมากก็ขยับมือกับแขน แต่พอช่วงไกล้แข่งนักกีฬาทุกคนตื่นแต่เช้า มาวิ่งออกกำลังกายรอบมหาวิทยาลัย แล้ว ม.มหาสารคามก็กว้างด้วย นักกีฬาของชมรมครอสเวิร์ดและหมากกระดานจึงเหนื่อยกว่าใครเพื่อน  แต่หลังจากปีนั้นก็ไม่ได้ซ้อมออกกำลังกายอีก อย่างมากก็วัดสมรรถภาพร่างกาย

ปีถัดมา 2548 ม.มหิดล เป็นเจ้าภาพ ไม่มีกีฬาหมากฮอสบรรจุในกีฬมหาวิทยาลัย แต่มี “ไพ่บริจด์” เป็นอะไรที่ใหม่มาก ทั้งมหาลัยฯเล่นเป็นอยู่ไม่กีคน ส่วนใหญ่ก็หัดใหม่หมด  จึงชวนสนิทมาเข้าชมรม ร่วมซ้อมและเป็นนักกีฬา แต่ด้วยตอนนั้นการเรียนวิชาประวัติศาสตร์มันเหนื่อยมาก การบ้านเยอาะจัด ไม่มีเวลามาซ้อม  แต่ยังดีที่ผมกับเพื่อนเรียนเอกเดียวกัน เพราะกีฬาไพ่บริดจ์จะเล่นกันเป็นทีม ทีมละสองคน เวลาแข่งนั่งเล่นกัน 4 คน  และการไปแข่งที่มหิดลในปีนั้น ถือว่าเป็นการแข่งไพ่บริดจ์ครั้งแรกขอผม และเป็นครั้งแรกที่ไปแข่งแบบไม่เคยชนะใครเลย

หอพัก มศว

ครั้งสุดท้ายคือแข่งไพ่บริดจ์ที่   ม.ศรีนครินทรวิโรฒ และก็เหมือนกับปีที่แล้วพ่ายแพ้ทุกเกมส์ แต่ไม่เคยเสียใจ เพราะรู้ตัวว่าซ้อมมาน้อย จะหาคู่ซ้อมคนอื่นๆก็ยาก เพราะทั้งมหาลัยฯ เล่นกันอยู่แค่คนในชมรม

กีฬาไพ่บริจด์เป็นกีฬาที่แข่งหลายวัน จึงได้อยู่ตั้งแต่วันแรกๆจนถึงช่วงสุดท้ายของการแข่งกีฬามหาวิทยาลัย  ต่างกับกีฬาบางชนิดแข่งเสร็จไม่กี่วันถ้าแพ้ก็ขนกระเป๋ากลับบ้านได้เลย

ในสนามแข่ง ตั้งวงเล่นกันแบบนี้เลย

ในสนามแข่งไพ่บริดจ์จะเป็นห้องใหญ่ๆห้องหนึ่ง มีโต๊ะหลายตัว  เป็นโต๊ะธรรมดา ปูผ้า มีเก้าอี้สี่ตัวสำหรับนักกีฬา แข่งในห้องแอร์ อากาศเย็นสบาย บางครั้งก็หนาวเป็นพิเศษเมื่อเจอคู่แข่งที่แข็งแกร่ง ในตอนนั้นเป็นยุคหลังปฏิวัติ กันยา 49 ใหม่ๆ เป็นครั้งแรกที่มีทหารมายืนคุมระหว่างการแข่งขัน

บรรยากาศในห้อง

ที่พักของนักกีฬาจะได้พักตามหอพักศึกษา ผมได้พักรวมกับนักกีฬา คล้ายๆเบสบอล เป็นห้องเล็กๆห้องหนึ่งปูเสื่อนอนกันหลายคน  ในช่วงแรกๆของการแข่งขันทุกคนมีระเบียบมาก พอถึงค่ำก็นอนพักร่างกาย พอเข้าช่วงท้าย รู้ตัวว่าตกรอบ เริ่มมีกินเหล้า มีเล่นไพ่กัน ส่วนนักกีฬาไพ่บริจด์มาเที่ยวนี้ผุ้ชาย 2 หญิง 4 คน ผมไม่มีเพื่อนสนิทมาด้วยเลย กิจกรรมยามว่างก็แค่เข้าเมืองไปเล่นเกมส์ เพราะบางวันไม่มีการแข่งขัน

หอพักสำหรับนักกีฬา

ส่วนเรื่องอาหารถ้าเป็นมื้อเช้าก็มีข้าวต้ม  ปาท่องโก๋+กาแฟ+โอวัลติน มื้อเที่ยงและมื้ออื่นๆซื้อกินที่โรงอาหาร

กฏระเบียบต่างๆของการมาแข่งกีฬา มีอยู่สองอย่างเช็คชื่อมาแข่ง เช็คชื่อกลับบ้าน และต้องแขวนป้ายชื่อเมื่ออยู่ในมหาวิทยาลัย  ข้อบังคับอื่นๆทางมหาลัยฯจะให้แต่ละชมรมจัดการกันเอง ชมรมผมชิวมากครับ อยากซ้อมก็ซ้อม อยากเที่ยวก็เที่ยว ถึงเวลาต้องลงแข่งให้ครบ

สรุปแข่งกีฬาระดับมหาลัยฯทั้งสามครั้ง ไม่ได้รางวัลอะไร ไปแข่งแพ้แต่ไม่ได้เสียใจ แม้ว่าจะไปแพ้แต่สิ่งได้คือการทดสอบความกดดัน กีฬาที่ผมแข่ง แม้ว่าจะรู้ว่าแพ้และตกรอบไปแล้วก็ตาม แต่ว่าในระหว่างการแข่งต้องใช้สมาธิสูงมาก จะทำเล่นๆไม่ได้เลย คือรู้ว่าแพ้ แต่ทุกเกมส์ต้องทำให้ดีที่สุด ไม่ใช่เพื่ออะไรหรอก แต่เป็นเพราะเป็นตัวแทนของมหาลัยฯ ทำให้เต็มที่แล้วจะไม่เสียดายอะไรกับสิ่งที่ผ่านมา

Facebook Comments