อย่างไรก็ตาม คนที่ใช้สมาร์ทโฟน Android สามารถอัพเกรดทักษะภาษาอังกฤษได้ด้วยตัวเอง  ประหนึ่งว่าได้คุยกับเจ้าของภาษา ผ่าน 4 แอพหลัก ที่จะแนะนำดังนี้

Google Translate

ใช้แปลภาษาได้ถึง 63 ภาษา รวมทั้งภาษาไทย แปลแบบเป็นคำๆและแปลได้ทั้งประโยค  ที่สำคัญคือมันช่วยอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ บางคำที่ไม่รู้ว่าจะพูดยังงัย ก็ให้ Google Translate ช่วยพูดให้ฟัง

Download App

Vlingo Virtual Assistant

ใช้ฝึกออกคำสั่งและพูดคำสั้นๆ เช่น ค้นหาสถานที่ ร้านอาหาร ค้นหาสิ่งต่างๆจาก Google ด้วยการออกคำสั่งเสียง หากว่าไม่รู้คำศัพท์ ก็ให้ Google Translate ช่วยแปล  แล้วใช้ Vlingo ฝึกออกเสียงภาษาอังกฤษ

Download App

iris

ใช้สำหรับสทนากึ่งโต้ตอบ เราจะเป็นฝ่ายถาม หน้าที่หลักๆคือช่วยค้นหาข้อมูล เช่น ถามว่า How many people in the world มันก็ตอบเราได้นะ หรือถามหาอลบั้มเพลง และข้อมูลอื่นๆที่มีอยู่ใน Wiki

Download App

Jeannie

ทำหน้าที่เช่นเดียวกับ iris  แต่ดูจะฉลาดกว่า

1. หาข้อมูลมาพร้อมกับภาพประกอบ หรือถามคำถามยากๆหลายๆคำถามมันตอบเราได้
2. สั่งให้เปิดโปรแกรมได้ด้วย เช่น Open Android Market หรือ Listen to music เพื่อฟังเพลง
3. สั่งให้ตั้งนาฬิกาปลุก
4. ส่งข้อความ และอีเมล์
5. อัพเดทข่าวล่าสุด เกี่ยวกับสิ่งนั้นๆ เช่น ถามว่า  news about Thailand มันก็บอกว่าตอนนี้ประเทศไทยกำลังมีวิกฤติน้ำท่วม

ผมเริ่มเรียนภาษาอังกฤษมาตั้ง ป.4 ช่วงปลายเทอม ด้วยการเขียน A-Z แล้วตอน ป.5 ก็เริ่มเรียนตามหลักสูตร ในสมัยนั้น ยังเรียนแบบ “ท่องจำ” คือเน้นให้จำคำศัพท์และเขียนให้ถูกต้อง ขึ้น ม.ต้น ผมเข้าชมรมภาษาอังกฤษ ตั้งแต่ ม.1-ม.3  พอถึง ม.ปลาย เรียนสายวิทย์-คณิต เรียนภาษาอังกฤษ อาทิตย์หนึ่ง 1-2 ครั้ง  ขึ้นมหาลัย วิชาเอกคือประวัติศาสตร์ และวิชาโทที่ต้องเรียนให้ครบ 18 หน่วย คือ ภาษาอังกฤษ เรียนมาอย่างทุลักทุเล  ต่อโทก็ต้องสอบภาอังกฤษ ที่มหิดลเข้มมากกับภาษาอังกฤษ สุดท้ายก็ไม่ผ่าน แต่ดีที่ทางมหิดลอนุโลมให้ แต่ต้องเรียนภาษาอังกฤษอีก 3 เทอม   สรุปผมเรียนภาษาอังกฤษตามหลักสูตรมา 13 ปี

เป้าหมายของการเรียนภาษาอังกฤษในตอนนั้น เหมือนเรียนเพื่อให้ผ่าน เพื่อให้สอบได้แค่นั้นเอง  แต่เรียนสนุกที่สุดคือการได้เรียนกับฝรั่ง หลายคนสอนสนุก และเน้นการพูดภาษาอังกฤษ ส่วนกับครูไทยจะเป็นทฤษฏีและการเขียน ผมเรียนกับครูไทยมามากกว่าแต่ก็ยังเขียนภาษาอังกฤษไม่ถนัด เพราะในชีวิตประจำวันผมอ่านมากกว่าเขียน และเขียนมากกว่าพูด

เกี่ยวกับภาษาอังกฤษ ปัจจุบันผมก็ยังเรียนอยู่ แต่เป็นการเรียนรู้ ไม่ได้เรียนตามหลักสูตร ด้วยการเข้าเว็บที่เป็นภาษาอังกฤษ เพราะความรู้หลายๆอย่าง จะมาหวังพึ่งคนไทยอย่างเดียวไม่ได้  โดยเฉพาะความรู้เฉพาะทางหลายๆ ผมนำมาจากต่างประเทศแล้วนำมาเผยแพร่ต่อ

แม้จะเรียนภาษาอังกฤษมา 13 ปี แต่ไม่ได้เข้มแข็งภาษาอังกฤษนัก เวลาที่ผมอ่าน บ่อยครั้งจะให้ Google ช่วยแปลภาษา และบ่อยครั้ง Google ก็แปลไม่ค่อยดีนัก เพราะมันคือการเขียนแบบธรรมชาติ ไม่ได้เยอาะแบบหลักภาษาที่เรียนมา  เนื้อหาที่ผมอ่านก็เลือกอ่านตามความสนใจ  ต่างกับการเรียนในชั้น เรื่องราวส่วนใหญ่ เป็นเรื่องทั่วๆไป แม้จะไม่ชอบ แต่ก็ต้องเรียน

การได้อ่านเนื้อหาที่สนใจ มันทำให้ผมจดจำศัพท์ได้ง่ายขึ้น จำเองโดยไม่ต้องท่องจำ หลายๆคำซึมเข้าสมองโดยอัตโนมัติ  …เพราะเป็นเรื่องที่สนใจ ผมอ่านเฉพาะเรื่องที่อยากรู้ เป้าหมายการอ่าน ไม่ได้เพื่อจำ ไม่ได้เอาไปสอบ แต่เพื่อให้เข้าใจ  อ่านแบบที่ไม่ได้โดนบังคับ แต่เป็นความต้องการ

ตัวอย่าง

Create an AVD

In this tutorial, you will run your application in the Android Emulator. Before you can launch the emulator, you must create an Android Virtual Device (AVD). An AVD defines the system image and device settings used by the emulator.

To create an AVD:

1. In Eclipse, choose Window > Android SDK and AVD Manager.
2. Select Virtual Devices in the left panel.
3. Click New.

The Create New AVD dialog appears.

4. Type the name of the AVD, such as “my_avd”.
5. Choose a target. The target is the platform (that is, the version of the Android SDK, such as 2.1) you want to run on the emulator.

You can ignore the rest of the fields for now.

6. Click Create AVD.

ตัวอย่างนี้เป็นหนึ่งในขั้นตอนการติดตั้งโปรแกรม เพื่อสร้าง Android Application เป้าหมายการอ่านคือรู้ล่วงหน้าแล้วว่า เพื่อให้ลงโปรแกรมได้ อย่างถูกวิธี  พอเห็นหัวข้อและคำศัพท์ไม่กี่คำ ผมเริ่มอ่านที่ขั้นตอน 1-6 แล้วไม่ได้อ่านเพื่อจำ อ่านไป ทำไปด้วย ไล่ตั้งแต่ 1-6  เวลาอ่านผมไม่ได้ดูทุกตัวอักษร  บางคนเขามีวิธีเน้นคำฉลาดๆ ด้วยการทำตัวหนา  บ่อยครั้งภาษาที่เป็นลักษณะ “วิธีทำ” เขาจะมีเน้นตัวหนาบางคำ แล้วดูแต่ตัวหนาก็เข้าใจขั้นตอน แต่ระหว่างการอ่านก็อาจได้คำศัพท์ใหม่ๆมาเพิ่ม เช่นคำว่า dialog  กับ fields สองคำนี้เจอบ่อย แต่คิดเป็นคำไทยไม่ถูก แต่เห็นแล้วมันเข้าใจ เพราะเจอบ่อย อ่านบ่อย บางทีไม่ต้องเปิดดิคก็รู้เรื่องเอง  ….เหมือนกับที่เกิดมาแล้วพูดได้ เข้าใจความหมาย โดยไม่ต้องเปิดพจนานุกรมมาก่อน