เหตุผลที่เลือก OPPO F1

• ราคาต่ำกว่าหมื่น
• หน้าจอ 5.0 นิ้ว
• ซีพียู Snapdargon 8 คอร์ และแรม 3GB
• กล้องดี
• วัสดุโลหะ อันนี้เน้นเป็นพิเศษ เพราะจะไม่ใช้มือถือพลาสติกอีกแล้ว
• OPPO มีรอมพิเศษชื่อ Project Spectrum ที่เป็นรอม Android แบบเพียวๆ

ข้อสุดท้ายเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เลือกใช้ OPPO เพราะผมต้องการสมาร์ทโฟนที่มีรอมอื่นๆให้ลง ตอนแรกผมอยากได้พวก Samsung กับ HTC เพราะในต่างประเทศยี่ห้อนี้เขามีรอมให้เล่นเยอะ

แต่พอ OPPO มี Project Spectrum และเครื่องสเปคดีที่ราคาต่ำกว่าหมื่น ผมเลือกเอาเครื่องนี้เลย ..แต่ว่าคงอีกนานนะถึงจะลงรอมใหม่ ใช้เบื่อแล้วค่อยลงครับ และตอนนี้ยังไม่มีรอมใหม่สำหรับรุ่น F1

สิ่งที่ทำให้อึดอัด

คิดว่าคงไม่เกิน 1 ปีจะได้ซื้อมือถือ Android เครื่องใหม่อีกครั้ง สเปคมันดีแต่อยู่หรอก ..แต่มันไม่สุด เช่น ไม่มี NFC ไม่มีสแกนลายนิ้วมือ และชาร์จไว สามอย่างนี้เป็นฟีเจอร์ของสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่เลยนะ 

แต่คงไม่รีบที่จะซื้อใหม่หรอกนะ ผมต้องใช้ OPPO F1 ให้คุ้มก่อน เพราะมันไหลลื่น ใช้มาเดือนกว่าลงแอพไปตั้งมากมาย ยังไม่มีอาการแปลกๆให้เห็น

สรุปแล้วดีไหม ?

เหมือนกับที่จั่วหัวไว้ มันดี ซื้อมาตอนนั้น 8,900 บาท ตอนนี้ลดเหลือ 7,990 บาท ก็ยิ่งคุ้มขึ้นไปอีก หากย้อนเวลากลับไปได้ ก็คงเลือกซื้อเครื่องนี้เหมือนเดิม ไม่เสียดายที่ซื้อไป

เครื่องที่อยากได้ในอนาคต

ถ้าผมจะซื้อเครืองใหม่ ขอเป็นอะไรก็ได้ที่เป็นยี่ห้อ Samsung แล้วกัน เพราะมีคนใช้ยี่ห้อนี้เยอะ ที่เลือกยี่ห้อนี้ผมจะได้เอามาเขียนวิธีใช้งานการตั้งค่าและระบบต่างๆของซัมซุง

เกี่ยวกับวิธีใช้ OPPO ผมก็เขียนวิธีใช้งานต่างๆไว้ที่ > http://android.maahalai.com/category/oppo/

4G มันไม่ใช่แค่แรงขึ้น แต่มันจะกระจายเสาสัญญาณได้ดีกว่า ทำให้จากเดิมพื้นที่ที่รับสัญญาณ 3G ไม่ค่อยดี พอเปลี่ยนเป็น 4G ก็จะได้รับสัญญาณที่ดีขึ้นแถมยังโหลดแรงกว่าด้วย

การทดสอบ 4G

ส่วนตัวใช้อยู่ 2 ซิม Dtac ใช้เป็นซิมหลัก ส่วนทรูใช้เป็นเบอร์สำรอง ไม่ค่อยเติมตัง ไม่ได้สมัครแพ็คเกจ เลยขอไว้โอกาสหน้าถ้าพร้อมจะทดสอบให้ดู

ผมทดสอบบน iPhone 6 ด้วยแอพ Speedtest.net แอพนี้ถือว่าเป็นแอพยอดนิยมของนักทดสอบความแรงเน็ต แล้วผลที่ได้ก็คือ..

ความเร็วดาวน์โหลดได้ 35.73 Mbps ส่วนความเร็วอัพโหลดได้ 3.91Mbps

ความเร็วระดับนี้ถ้าโหลดไฟล์ขนาด 100 MB  ก็จะใช้เวลาประมาณ 25 วินาที ไฟล์ 1 GB ก็จะใช้เวลา 4 นาที (อันนี้วัดจากความเร็วสูงสุด ปฏิบัติจริงอาจช้ากว่านี้)

สำหรับการใช้งานทั่วไป ดูคลิป YouTube ความละเอียดสูงๆได้สบายๆ ดูหนังออนไลน์เว็บอื่นๆถ้ากระตุกสาเหตุก็น่าจะมาจากเว็บมากกว่า

เทียบกับไวไฟ

ที่บ้านผมใช้เน็ตทรูความเร็วถือว่าค่อนข้างดี ดูหนังออนไลน์ ดู YouTube ได้สบาย ส่วนปัญหาที่คนอื่นพบเจอ เน็ตกากบ้างอะไรบ้างๆ นานๆทีจะได้เจอ อาจเพราะที่หนองหานคนใช้เน็ตไม่มากเหมือนในจังหวัด เน็ตก็เลยดี

ความเร็วเน็ตไวไฟทรูที่บ้านวัดได้ 24.38 Mbps อัพโหลด 1.68 ก็คือว่าด้อยกว่า 4G ..แต่ถ้าพูดถึงความคุ้มว่า ยังไงใช้เน็ตบ้านมันก็ดีกว่าใช้ 4G ในกรณีที่จะใช้ในบ้านนะครับ

เน็ตไวไฟ VS เน็ต 4G

บ้านใครที่ยังไม่มีเน็ตแต่กำลังจะซื้อมาใช้ ยังไงเน็ตไวไฟมันก็ดีกว่า เพราะ “ไม่มีติด FUP” ..ความเร็วจากซิม 3G 4G เมื่อใช้ไปถึงปริมาณที่กำหนดก็จะถูกลดความเร็ว ถ้าอยากใช้เน็ตแรงๆก็ต้องจ่ายเพิ่มเพื่อให้ได้ความเร็วสูงปกติ ซึ่งค่าใช้จ่ายมันก็จะแพงกว่าเน็ตไวไฟ

ดังนั้นจะใช้เน็ตที่บ้านเป็นหลักยังไงไวไฟก็ดีกว่าในแง่ของการประหยัดค่าใช้จ่าย และได้ใช้กันทั้งครอบครัว ส่วนเน็ต 4G ถ้าจะซื้อแพ็คเกจก็เหมาะกับคนทำงานนอกบ้าน

สรุป

4G ของ Dtac ถือว่าทำได้น่าประทับใจ ใครที่อยู่หนองหานได้โหลดแรงแน่นอน แต่ถ้าอยู่พื้นที่อื่นมันไม่แน่นอนนะครับ ถ้ามีคนใช้จำนวนมากในเวลานั้น หรืออยู่ในพื้นที่อับสัญญาณความเร็วจะลดลงเป็นธรรมดา

เดิมผมใช้ iPhone 6 Plus ใช้ไปสักพักแล้วรู้สึกว่ามันอึดอัด อึดอัดตรงที่หน้าจอมันใหญ่ 5.5 นิ้ว ก่อนจะซื้อมาผมคิดว่าคงไม่เป็นปัญหา แต่พอใช้งานจริงแล้วยิ่งเวลาใส่เคสเครื่องจะดูใหญ่มากขึ้น

ความใหญ่ของเครื่องมันมีประโยชน์ก็ตอนเล่นเกม ดูหนัง อ่านเว็บ แชท อะไรๆมันก็เห็นชัดไปหมด แต่มีข้อเสียคือเวลาพกพา เพราะผมเป็นผู้ชายเวลาไปไหนมาไหนผมพกใส่กระเป๋ากางเกง ทำให้ไม่สะดวก

ต่างกันกับ “ผู้หญิง” จะพกของใส่กระเป๋าถือ การใช้มือถือจอใหญ่เลยไม่น่าจะมีปัญหา

ก่อนแลก

ผมได้โพสขาย iPhone 6 Plus บนกลุ่มเฟสบุ๊ค ผมเขียนบอกไว้ด้วยว่าจะขายเพื่อเอาเงินไปซื้อ iPhone 6 โดยราคาที่ตั้งขายก็เท่ากับราคาเครื่อง iPhone 6 เลย

แต่ต่อมามีคนเสนอแลก เอา iPhone 6 มาแลก 6 Plus ของผม ตอนแรกจะให้ส่วนต่าง 3,500 โดยนัดกันที่ขอนแก่น แต่ผมขอให้มาอุดรโดยจะลดส่วนต่างให้เหลือ 3,000 บาท เขาก็ตอบตกลง(คนนัดเขามาจากร้อยเอ็ด ส่วนผมอยู่อุดร)

การแลก

ผมนัดเจอที่ห้างฯ เพราะมันมีที่นั่ง มีไฟส่องสว่าง และผมก็รออยู่ที่ศูนย์อาหาร ไปถึงก่อนก็นั่งกินข้างกินน้ำรอ

พอคนนัดมาถึง(เป็นผู้หญิง) ก็เปลี่ยนเครื่องกันดู ตรวจดูสภาพภายนอกอยู่ในระดับที่ดีมาก ประกันก็ยังเหลือไปจนถึงต้นปีหน้า

การตรวจภายในผมเช็คกล้อง เช็ค App Store เช็คเสียง หน้าจอ และปุ่มต่างๆ หลักๆแล้วผมเช็คแค่นี้แหล่ะ เพราะเครื่องยังอยู่ในประกัน (เครื่องผมก็อยู่ในประกัน)

หลังจากเช็คเสร็จแล้ว เราก็แลกตัวเครื่อง กล่อง และเคส ผมให้เคสเขาไปสอง มีเคส Air Jack อันหนึ่ง บอกคำเตือนเขาไปแล้วว่า ใส่ไม่ดีเครื่องเป็นรอยแน่

ในส่วนของอุกรณ์อย่างหูฟังและที่ชาร์จ ไม่ได้แลกกันครับ ใช้ของใครของมันต่อไป

แลกของเสร็จก็แยกย้ายกันกลับบ้าน

สำหรับโลโก้อันล่าสุดของเว็บ maahalai.com คราวนี้ทำการบ้านมาดีตรงที่ไปค้นกูเกิ้ลด้วยคำว่า m logo แล้วเจอตัวอย่างการออกแบบมากมาย ผมดูเพื่อหาความคิดสร้างสรรค์ มีโจทย์หลักคือโลโก้ต้องเป็นตัว M เลยดูว่าแต่ละคนเขาทำตัว M กันอย่างไรบ้าง

แล้วมันก็ได้ผลดี ถ้าไม่ดูกูเกิ้ลก่อน โลโก้ใหม่คงห่วยเหมือนเดิม

อย่างที่บอกว่าออกแบบที่ผ่านๆมาผมใช้ฟอนต์ทำโลโก้ตัว M และมองเห็นข้อเสียของโลโก้เดิมคือ มันดูไม่มีมิติ มันเรียบเกิน รู้สึกว่าไม่สวย คือตอนที่ทำ ณ ตอนนั้นมันรู้สึกว่าโอเคร ดีแล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไปแล้วลองนำไปเทียบกับโลโก้เว็บอื่นๆ โลโก้เว็บ maahalai ดูกากไปเลย

โลโก้ที่ผมชอบ

ที่เห็นนี้คือโลโก้เว็บ The Verge ผมชอบตรงที่ไม่คิดว่าจะออกแบบตัว V ในรูปทรงนี้ได้  มันเหมือนกับเอาตัว V หลายๆตัวมาผสานกัน  ถ้ามองในแง่เทคนิคการทำผมว่าโลโก้นี้ทำง่าย แต่ถ้ามองในแง่ของวิธีคิด ผมว่ามันไม่ธรรมดา มันดูมีระดับ  มันไม่ใช่โลโก้แบบบ้านๆที่ใครก็ทำได้

โลโก้เดิม

แนวคิดการออกแบบ
ยังไงก็ได้ขอให้ดูเป็นตัว M เพราะโลโก้ทุกอันมันเป็นตัว M เลยไม่อยากจะฉีกแนวมากนัก แต่ให้ดูสร้างสรรค์มากขึ้น และไม่ใช้ฟอนต์ออกแบบ

ผลที่ได้…

โลโก้เว็บนี้ต้องเป็นสีชมพูเท่านั้น  ก็เลยได้รูปตัว M สีชมพู แต่เป็น M ที่ดูมีระดับขึ้นมาหน่อย ด้วยการสลับสีเข้มสีอ่อน ดูมั่นคงมากขึ้น แต่ไม่เรียบและแข็งจนเกินไป

แต่ผมคิดว่านี่ยังไม่ดีที่สุดนะ ตอนแรกอยากให้มีเงามีอะไรมากกว่านี้  แต่เทคนิค Photoshop ยังไม่ถึงขั้น ก็เลยเอาเท่านี้ก่อน ดูเรียบๆแบบ Flat ตามสมัย

การใช้งาน
เหตุผลที่ออกแบบใหม่อีกข้อหนึ่งคือ ต้องการให้รูปในเว็บมีเครดิตภาพสวยๆ และมีชื่อเว็บด้วย ส่วนโลโก้เดิมที่เป็นทรงกลม มันไม่เข้ากับชื่อเว็บเลย ก็เลยต้องออกแบบใหม่ให้เป็นอย่างที่เห็น

ธีมใหม่ได้เปลี่ยนในช่วงต้นเดือน ซึ่งเป็นช่วงที่ผมปรับแนวคิดการทำงานใหม่ หลังจากที่ปล่อยปะละเลยมานาน จนสถิติการเข้าชมเว็บจากทรูฮิตมันตกลงไปเกือบๆอันดับที่ 400 พอตั้งหลักได้ก็ปรับแผนครั้งใหญ่ อันดับเว็บดีขึ้น แต่ยังไม่พอใจเท่าไหร่ เพราะเคยทำได้ดีกว่านี้

การเลือกธีม
ก่อนจะตัดสินใจเปลี่ยนธีมเว็บ ผมลองเข้าเว็บอื่นหลายๆเว็บแล้วก็ตั้งคำถาม ทำไมเว็บเราโหลดช้ากว่าเขา แล้วทำอย่างไรจะให้เว็บโหลดเร็วกว่านี้ จากนั้นก็เริ่มต้นด้วยการตัดฟังชันบางส่วนของธีมออก แม้ว่าธีมจะถูกโหลดเร็วขึ้น แต่รู้สึกว่ามันไม่สวยเหมือนเดิม ก็เลยตัดสินใจจะเปลี่ยนธีมใหม่

ผมเริ่มหาเว็บด้วยการค้นคำว่า WordPress Theme blog เพราะอยากได้เว็บที่มีลักษณะคล้ายบล็อก เพื่อให้ดูเรียบง่าย แต่อยากได้แบบไม่เรียบง่ายเกินไป ขอแบบมีลูกเล่นที่ Head บ้าง

ผมใช้เวลาประมาณ 3 วัน สำหรับค้นหาธีมใหม่ ซึ่งจริงๆมันไม่ได้ตรงกับความต้องการ 100% แต่พยายามหาในแบบที่ไกล้เคียงที่สุด ลำพังจะไปจ้างทำก็ไม่มีงบมาก เพราะเพิ่งถอยแมคบุ๊คเดี๋ยวไม่มีตังค์ใช้

ธีมใหม่ที่ใช้ชื่อว่า Lightly ซื้อจาก ThemeForest ในราคา $43 ประมาณ 1,400 กว่าบาท ธีมนี้ถูกสร้างนานแล้วตั้งแต่ปี 2012 ถือว่าเป็นธีมเก่าอยู่นะ แต่มันโหลดหน้าเว็บได้เร็วดี และรองรับการชมได้ทั้งบนมือถือและแท็บเลทก็เลยเลือกธีมนี้

ลักษณะของธีมจะดูคล้ายๆแมกกาซีน แต่ผสมผสานกับรูปแบบบล็อก เลยทำให้ดูไม่ยาก แม้จะเพิ่งเข้าเว็บครั้งแรกแต่ก็น่าจะทำให้ผู้ชมเข้าถึงข้อมูลต่างได้ง่าย เพราะโครงสร้างของเว็บดูธรรมดามากๆ (ต่างจากธีมเก่าที่ผมใช้ โครงสร้างค่อนข้างซับซ้อนเหมือนเว็บใหญ่)

ความง่ายในแบบของผม
นอกจากเปลี่ยนธีมแล้ว สิ่งที่ทำคือการไม่พยายามขยายสาระให้มากสาขาจนเกินไป เพราะมันจะเจาะลึกลำบาก หรือถ้ามีเนื้อหามากก็ไม่ทำซับโดเมนใหม่ เพราะนอกจากผู้ใช้จะสับสนแล้ว ยังต้องมาเหนื่อยกับการอัพเดทระบบทีละเว็บ

ความง่ายมันไม่ใช่แค่การตัดและการจำกัด แต่บางอย่างมันต้องชัดเจนด้วย ก็เลยออกแบบโลโก้เว็บใหม่ที่เกือบจะคล้ายโลโก้เว็บรุ่นแรก แต่เปลี่ยนจากตัว M ใหญ่มาเป็น m เล็ก และใช้พื้นหลังเข้มให้ดูเด่นๆไปเลยว่านี่คือโลโก้

และไม่ใช่แค่เบื้องหน้าที่ทำอะไรออกมาให้ดูง่าย ผมพยายามปรับการทำงานเบื้องหลัง เริ่มจากจัดการไฟล์ในเครื่อง และเลือกใช้แต่โปรแกรมที่จำเป็น เพื่อให้ชินกับการทำงานที่เร็วๆ จะได้นำความรู้สึกส่วนนี้ไปใช้กับการทำเว็บ

สิ่งที่ยังไม่เสร็จ
ผมยังไม่พอใจกับช่องทางสื่อสารระหว่างผู้ชมกับแอดมินเท่าไหร่ ตอนนี้มีคุยบนแฟนเพจกับช่องคอมเม้นเท่านั้น แต่ผมอยากเพิ่มบริการที่ทำให้หาคำตอบได้ง่ายขึ้น และแอดมินต้องไม่ลำบากจนเกินไป เพราะทำเว็บคนเดียว

สิ่งที่พยายามทำอยู่คือระบบถาม-ตอบ คล้ายๆกับ Ask.fm แต่ยังมีบางส่วนที่ต้องแก้ไข และยังไม่มีเวลาพอที่จะทำให้เสร็จเร็วๆ

อีกอย่างที่กำลังพิจารณาคือหน้า FAQ อยากทำอยู่ แต่เนื่องจากเว็บเป็นวาไรตี้ด้านไอที การรวมคำถามที่ถามบ่อยมันเป็นงานหนักมาก เพราะเว็บมีหลายหมวด mac iphone ipad android facebook windows และ windows phone

สุดท้ายคือเรื่องของการค้นหา ผมเคยคิดจะทำสารานุกรมในหมวดไอทีแต่ไม่สำเร็จ เพราะรู้สึกว่ายากเกินไปสำหรับการทำอะไรคนเดียว และเสียดายอีกอย่างที่ Custom Search ของ Google ไม่รู้ระบบมีปัญหาหรือเพราะอะไรถึงได้ตัดเอาค้นหาด้วยเสียงออก ไม่งั้นผมจะเปลี่ยนมาใช้ยกเว็บเลย

ผมขอสรุปสิ่งที่พบเจอไว้เป็นข้อๆดังนี้

1. งงกับการเปลี่ยนภาษาคีย์บอร์ด
ทราบดีอยู่แล้วว่ากด cmd+space bar มันจะเปลี่ยนภาษาให้ เว็บไหนก็เขียนบอกแบบนี้ แต่ปัญหาคือกดแล้วไม่เปลี่ยน ก็งงเลยทีนี้ ต้องไปตั้งค่าบางอย่าง แล้วกดปุ่ม Caps lock มันถึงสลับให้ง่ายๆ

2. ปรัวตัวกับเมนูของโปรแกรม
บนวินโดวส์เมนูจะอยู่บนแถบของโปรแกรม แต่สำหรับแมคเมนูจะไปอยู่บนแถบของหน้าจอ แอบมึนนิดหนึ่งในตอนแรก ถึงว่าทำไมโปรแกรมมันดูโล่งๆ

3. ไหลลื่น รวดเร็ว สวยงาม
ระบบทำงานได้ไหลลื่นและรวดเร็วมาก เปิดโปรแกรมไม่ต้องรอนาน แป๊บเดียวก็ทำงานได้แล้ว และที่ประทับใจมาต้งแต่แรกเริ่มคือความสวยงามของแมค โดยเฉพาะ Dock อำนวยความสะดวกได้ดีสุดๆ

4. ปรับตัวกับคีย์ลัด
การทำงานเว็บของผมต้องมีกดก็อปวางไฟล์ภาพบ่อยมากๆ พอเปลี่ยนมาใช้แมคแล้วต้องเปลี่ยนนิดหน่อย แค่เปลี่ยนจากกด Control มาเป็นกด Command

5. ชื่นชอบ Safari
โหลดหน้าเว็บเร็วลื่นได้แพ้ Chrome แล้วยังมี “พวกกุญแจ” ช่วยเก็บรหัสผ่านของเว็บต่างๆ แล้วซิงค์กับไอโฟนไอแพดได้ทันที ตรงนี้สำคัญกับผมมาก แต่ก่อนใช้ Chrome บนวินโดวส์ก็เพราะสิ่งนี้แหล่ะ

6. ชื่นชอบ Launchpad
ทำให้เข้าถึงโปรแกรมต่างๆได้ง่ายดี ดูสวยงามคล้ายหน้าจอไอแพด แต่ก่อนวินโดวส์ก็เข้าถึงโปรแกรมได้ง่ายๆแบบนี้แหล่ะ แต่พอมาเป็นวินโดวส์ 8 โปรแกรมถูกเก็บไว้ค่อนข้างลึก ต้องคลิกถึงสองครั้งถึงจะเข้าดูรายการโปรแกรมได้

7. ปรับตัวกับโฟลเดอร์ใหม่
ส่วนตัวไม่ได้มึนงงกับโฟลเดอร์ของแมคเท่าไหร่ เพราะคอมเครื่องเก่าผมใช้ไดรฟ์ C อย่างเดียว ไม่มีไดร์ฟอื่นเลย การทำงานคล้ายๆกับ Finder แต่ผมยังต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะ

8. สร้างแอพง่ายดี
ผมเคยทำแอพ Android บนวินโดวส์นะ ซึ่งต้องลงจาว่า ดาวน์โหลดไฟล์หลายอย่าง แล้วต้องมาแก้ดีบั๊กของโปรแกรมถึงจะเริ่มทำแอพได้ แต่การทำแอพไอโฟน แค่โหลด xcode จากแอปสโตร์ ติดตั้งเสร็จแล้วก็เริ่มสร้างแอพได้ทันที

9. สนุกกับ Magic mouse
จริงๆแล้วแท็คแพดก็ลื่นดีมากอยู่นะ แต่ผมถนัดใช้เมาส์เลยเลือกเอาแบบที่มันใช้มัลติทัชได้ เมื่อยนิ้วไปหน่อยบางทีแต่ก็โอเครอยู่

10. สีจอค่อนข้างสด
สีเว็บมันดูเข้ม (แต่สบายตา) มากกว่าดูบนคอมเครื่องเก่า รวมทั้งไอแพดไอโฟน

11. มี Steam และ Dota2
อันนี้หายนะเลยครับ ว่าจะเลิกเล่นซะหน่อย เพิ่งรู้ว่าเล่นดอทได้ทั้งแมค วินโดวส์ และลินุกซ์ แล้วแมคเครื่องใหม่ก็เล่นได้โดยไม่ต้องลดกราฟฟิคเกม

12. ยังมีคำถามอีกมากมาย
เกี่ยวกับการดูแลระบบ ผมยังไม่รู้เลยว่าต้องทำอะไรบ้าง ถ้าเครื่องมีปัญหาแล้วจะแก้อย่างไร แล้วแมคทำอะไรได้บ้างยังรู้ไม่หมด

13. อยากใช้ Yosemite
อยากลองอัพเป็นรุ่น Beta แต่เสียดายว่ามันจะมีปัญหากับโปรแกรม Photoshop ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ผมขาดไม่ได้เลย คงต้องรอรุ่นจริงและหวังว่าพอ Yosemite ปล่อยอัพเดทอย่างเป็นทางการแล้วจะใช้ได้เลย

แต่ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง ประจวบกับคอมที่ใช้อยู่มีปัญหาพอดี ถ้าจะอัพเกรดคอมหรือซื้อเครื่องใหม่ที่ดีกว่า อาจจะกลับมาเจอปัญหาเดิมๆ หรือมีปัญหาใหม่มาให้ชวนปวดหัว เลยลองเปลี่ยนมาใช้ mac เสียเลย นอกจากจะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆแล้ว มันน่าจะช่วยพัฒนางานที่ผมทำอยู่ดีขึ้นไปอีก (หวังอย่างนั้น)

เหตุผลที่เปลี่ยนมาใช้ mac (ส่วนตัวผมเอง) มีดังนี้

1. อยากลองอะไรใหม่ๆ
เหตุผลสำคัญอันดับหนึ่งคืออยากเรียนรู้ mac os ระบบปฏิบัติการที่ขึ้นชื่อว่าใช้ง่ายและสเถียรที่สุด มันจริงหรือปล่าว ? แล้วทำไมนักออกแบบ คนทำเว็บหลายๆคนถึงชอบใช้กัน ก็เลยลองใช้ดูบ้าง

2. ชอบหน้าตาของระบบ
หลังจากที่แอปเปิ้ลออกอัพเดทระบบใหม่คือ Yosemite ผมรู้สึกว่ามันดูสวยมาก เพราะชื่อชอบอะไรที่เป็น Flat Design อยู่แล้ว แต่คอมที่ผมใช้อยู่คือ macbook air 13 ยังเป็นระบบ maverick osx ซึ่งต้องรอการอัพเกรดเป็น Yosemite ประมาณเดือนตุลาคม

3. คอมเก่ามีปัญหาเรื่อง wifi
ผมใช้ Acer aspire v5 471p เคยมีปัญหาเรื่องไวไฟแล้วหลุดบ่อยตั้งแต่ซื้อมาใหม่ๆ แต่พออัพเดทไดเวอร์ปัญหานี้ก็หายไปนานประมาณปีครึ่ง อยู่ๆปัญหานี้ก็กลับมาอีกทั้งๆที่อัพไดเวอร์ไวไฟรุ่นล่าสุดแล้ว วินโดวส์ก็ของแท้อัพเดททุกอย่างอย่างสม่ำเสมอ ไม่ได้ใช้ Baidu PC ด้วย …ปัญหาไวไฟหลุดบ่อยเป็นอะไรที่กวนใจคนทำอาชีพเว็บอย่างผมมากๆ

อีกอย่างก็คือผมค้นหาข้อมูลบนเน็ตแล้วพบว่าคอมของ Acer หลายเครื่องมีปัญหาแบบเดียวกับที่ผมเป็น เวลาเน็ตหลุดจะขึ้น Limited Access ทั้งๆที่บนมือถือและคอมเครื่องอื่นยังใช้ได้ แต่มีคอมผมที่ใช้แล้วมีปัญหา

4. อยากเลิกเล่น Dota 2
ผมเคยเลิกเล่นเกมนี้ไปแล้วหลายเดือน แล้วกลับมาเล่นใหม่อีกครั้ง (เพราะมันสนุกจนหยุดไม่อยู่) ผมเล่นมาเรื่อยๆจน mmr solo ผมได้ 3190 ถ้ายังใช้คอมวินโดวส์อยู่ คงจะขึ้นไปเกือบสี่พัน หาทีมลงแข่งขัน …คงจะเตลิดไปนู่นเลยล่ะ การเล่น Dota ไม่ใช่ไม่ดีนะ แต่มันไม่ส่งผลดีต่อการทำงานของผมเท่าไหร่

5. เสริมคอนเทนท์ให้เว็บ Maahalai.com
ผมต้องการให้เว็บมีเนื้อหาที่หลากหลายมากขึ้น เว็บผมยึดถือเรื่องประสบการณ์จริง ถ้าไม่ได้ใช้ mac ก็คงไม่มีอะไรจะมาเล่าเรื่องการใช้งาน อีกทั้งคนใช้ mac ก็เข้าเว็บผมเยอะอยู่ เพราะเว็บผมมีสาระเกี่ยวกับ iOS อยู่แล้ว เหลือแต่ OS X ที่ยังไม่มี

6. ต้องการใช้โปรแกรมที่สเถียรและเร็ว
ก่อนจะซื้อ mac มาใช้ ผมเคยจับมันมาบ้างแล้วที่ iStudio มันทำงานได้เร็วมากโดยเฉพาะการเปิดหน้าเว็บอะไรต่างๆ เปิดโปรแกรมก็เร็วมากๆ และจากการสืบค้นข้อมูลมาก่อนซื้อ ก็เลยมั่นใจว่า mac จะใช้ทำ Photoshop ได้ดีกว่าคอมตัวเก่า ซึ่งโปรแกรมนี้ผมต้องใช้ทำงานทุกวัน

7. เบื่อ Chrome
สำหรับผม Chrome คือโปรแกรมท่องเน็ตที่ดีที่สุดสำหรับ Windows เพราะเข้าเว็บต่างๆได้ลื่นเร็วกว่า แต่มีปัญหาจุกจิกอยู่เรื่อยๆ ส่วน IE บนวินโดวส์ก็พึ่งไม่ได้ ทั้งๆที่มันน่าจะทำได้ดีกว่าทุกโปรแกรมท่องเน็ตบนวินโดวส์

8. มีประสบการณ์ที่ดีกับ iOS
ใช้ iPhone iPad อยู่เลยเข้าใจแนวคิดของ Apple แม้ว่าจะเป็นระบบปิด แต่ข้อดีคือความสเถียรของการใช้งาน และ OS X รุ่นใหม่จะทำงานผสานกับ iOS มากขึ้นกว่าเดิม

9. Windows 8.1 บางอย่างไม่เข้ากัน
อัพเดทล่าสุดของ Windows 8.1 คือความพยายามที่ดีของการผสานกันระหว่างส่วนที่ใช้สำหรับแท็บเลทและหน้าเดสท็อป ซึ่งก็ทำได้ดีขึ้นกว่าเดิมมาก (หากเทียบกับรุ่น 8) แต่ส่วนที่ไปได้ช้าสำหรับผมคือ Windows Store แอพส่วนใหญ่มันเหมาะกับใช้บนแท็บเลท โปรแกรมคอมส่วนใหญ่ผมยังต้องหาโหลดตามเว็บเหมือนเดิม ต่างกับการใช้ mac แม้ว่าโปรแกรมส่วนหนึ่งต้องไปหาโหลดหรือซื้อที่เว็บเหมือนกัน แต่ทุกโปรแกรมใน App Store มันถูกสร้างมาสำหรับทำงานบน Desktop …สรุปคือระบบ App Store บน mac มันอำนวยความสะดวกให้ผมมากกว่า

อนาคต
ตอนนี้ผมยังเป็น mac มือใหม่ แต่เดี๋ยวจะเขียนประสบการณ์ใช้งานมาเล่าให้อ่านเรื่อยๆที่บล็อกนี้ และถ้าหากศึกษาจนรู้และเข้าใจแล้ว เดี๋ยวจะมีการเขียนวิธีใช้ mac osx บนเว็บ maahalai.com

หน้าตาของธีม
ที่มันดูเรียบง่ายเป็นเพราะมีการจำกัดการแสดง Widget ทั้งเว็บผมเลยใส่แค่ 3 อัน เอาไว้มีป้ายหรือแบนเนอร์อะไรค่อยเอามาใส่ที่หน้าโพสเลย

เรียบง่ายดีที่สุด ?
เป็นเพราะคนใช้มือถือมากขึ้น อะไรที่ดูง่ายๆคนน่าจะชอบมากกว่าเข้าเว็บแล้วโหลดนาน ผมต้องการธีมที่โหลดมือถือได้เร็ว หลังจากพบว่า 60% เข้าเว็บผมผ่านมือถือ ธีมเดิมมันก็สวยดีอยู่ แต่ไม่รองรับการชมผ่านมือถือเลยใช้ธีมนี้ดีกว่า

เพราะคนออกแบบ
ผมเลือกเพราะคนออกแบบธีมคือคุณเม่น @iMenn คนที่ชอบทำธีมน่าจะรู้จักอยู่ ส่วนผมเห็นเขาแค่ในเว็บเท่านั้นเอง แต่เห็นผลงานก็เลยชอบ

อนาคต
สำหรับปีนี้คงไม่คิดจะเปลี่ยนอีก และอยากกลับมาเขียนบล็อกนี้ หลังจากที่ทิ้งร้างไว้นาน เร็วๆนี้จะมีการเคลียร์เนื้อหาที่คิดว่าเป็น “ขยะ” ออกจากบล็อก แต่ก่อนชอบเอาอะไรมาใส่จนดูล้น ตอนนี้ก็ลบออกไปเยอะแล้ว ผมอยากให้บล็อกนี้ดูมีอะไรมากกว่าเป็นเรื่องทั่วๆไป และเร็วๆนี้จะมีการเพิ่มเรื่องราวของอำเภอหนองหานเข้ามาใส่

ข้อจำกัดของเว็บตัวเองที่ผมมองเห็นคือ ความกว้างของหน้ามันน้อยเกินไป อยู่ที่ประมาณ 600px ผมอยากได้กว้างกว่านี้สัก 700 px เพราะจะทำให้เห็นรายละเอียดชัดขึ้น และธีมที่ใช้มันตกแต่งอะไรในเนื้อหามากไม่ได้ ขณะที่เนื้อหาในเว็บมีมากขึ้น มีเนื้อหาหลายหมวดแต่เหมือนว่ายังเป็นเว็บที่ดูเล็ก เลยคิดจะทำให้ใหญ่ขึ้นด้วยการเปลี่ยนธีม

การหาธีม
ผมค้นคำว่า WordPress theme magazine ในกูเกิ้ล แล้วยังไม่เจอธีมที่โดนใจเท่าไหร่ ก็เลยไปดูเว็บอื่นๆว่าเขามีธีมแบบไหน เขาทำแบบไหนทำไมมันสวยและน่าสนใจ และจากการที่ดูหลายเว็บผมสนใจอยู่ 2 เว็บคือ theverge.com (เว็บต่างประเทศ) กับ macthai.com อันนี้เว็บของคนไทย ทั้งสองเว็บต่างกันตรงที่อันหนึ่งเป็นแม็กกาซีนและอีกอันเป็นบล็อก …ผมต้องการธีมแนวแม็กกาซีน

แต่ทั้งสองเว็บเป็นธีมที่สร้างขึ้นเอง ซึ่งผมไม่มีทักษะการสร้างธีม WordPress เลย ให้ตกแต่งเองพอทำได้ก็เลยต้องหาซื้อธีม แต่ตอนแรกได้มองหาธีมฟรีก่อน เพราะธีมที่ขายอยู่ทั่วไปราคาก็ไม่ใช่น้อย แต่ปรากฏว่าของฟรีดีๆมันไม่ค่อยมี ก็เลยต้องไปมองหาอันที่เขาขาย ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ $45-$55

และจากการมีเว็บ TheVerge เป็นไอดอล ก็เลยค้นหาธีมที่คล้ายเว็บนี้ ราคาอยู่ที่ $55 ขายบนหน้าเว็บ themeforest.net คือไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้มาซื้อธีมเว็บนี้เพราะมีแต่แพงๆทั้งนั้น แต่พอมาคิดอีกที $55 ไม่ถึง 2,000 บาท แต่สามารถใช้ได้ตลอดไป มันก็คุ้มอยู่นะเพราะธีมเดิมที่ใช้เป็นของฟรีที่ใช้มาประมาณ 2 ปีแล้ว

เว็บ TheVerge ตัดมาให้ดูบางส่วน

ธีมที่ผมหาได้ก็คือ Steam เจ้าของธีมบอกได้แรงบันดาลใจมาจากเว็บ TheVerge ซึ่งผมดูแล้วมันก็แค่คล้ายๆตรงส่วนหัว ไม่ได้ถึงกับเหมือน โครงสร้างอะไรของธีมดูแตกต่างกัน แต่ที่ชอบมากๆคือตกแต่งพื้นหลังของโพสบางหน้าได้เหมือนกัน …ซึ่งทำให้แต่งเว็บได้เหมือนหนังสือแม็กกาซีน เพราะในหนังสือแมกกาซีนหลายๆหน้ามันไม่ได้ใช้โทนสีเดียวกันหมดเหมือนบนเว็บ ถ้าเว็บทำอย่างแม็กกาซีนได้จะน่าสนใจมากๆ ซึ่งเว็บดังๆของต่างประเทศก็ไปถึงขั้นนั้นกันแล้ว

เว็บ maahalai.com แบบเต็มหน้า

รูปแบบธีมใหม่
เว็บผมยังตกแต่งไม่เสร็จนะ ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องเพิ่ม แต่ด้วยเวลาที่จำกัดก็เลยทำแบบให้พอใช้ได้ไปก่อน ค่อยๆคิดค่อยๆใส่ทีหลัง จะทำทีเดียวให้เสร็จเดี๋ยวไม่ได้ทำงานพอดี แต่ก็พอใจกับหน้าเว็บที่เห็นอยู่

ที่ผมชอบธีมนี้เพราะตรง Head ทำช่องสี่เหลี่ยมได้น่าสนใจ แต่งหน้าเว็บได้ค่อนข้างอิสระและมีหน้าแสดงเนื้อหาที่กว้างถึง 739 px รองรับการชมผ่านมือถือกับแท็บเลทตามรูปแบบเว็บไซท์สมัยใหม่

ส่วนได้มาแบบไม่รู้ว่าจะได้คือมี Shortcodes สำหรับตกแต่งหน้าเว็บนี้ด้วย >ตัวอย่างคลิกดูได้ที่นี่< โค้ดนี้ใส่แล้วมันช่วยให้สร้างบทความได้น่าสนใจมากขึ้นจริงๆ ส่วนตัวมีอะไรจะทำเพิ่มโดยใช้โค้ด ตอนนี้กำลังหัดใช้บ้างแล้ว

ปัญหาที่พบ
– ติดตั้งเว็บตอนแรกมันขึ้น 404 Error ที่หน้าโพส ทุกโพสเลย ผมแก้ปัญหาด้วยการเข้าหน้า Permalink Settings แล้วกดบันทึกไฟล์ .htaccess อีกครั้ง
– รูปแบบโฆษณาที่เคยวางมันวางอย่างเดิมไม่ได้ ตอนนี้กำลังทดลองวางใหม่ ผลก็คือยอด Adsense ลดลง
– จำนวนคนเข้าดูหน้าเว็บลดลงอย่างน่าใจหาย คงเป็นเพราะเปลี่ยนธีมใหม่นี่แหล่ะ อะไรต่างๆยังไม่เข้าที ผมก็กำลังแก้ปัญหา
– ต้องหาปลั๊กอินบางอย่างมาทดแทนกับของเดิมที่มันเป็นฟีเจอร์อยู่กับธีมเก่า โดยเฉพาะ Random post widget ผมอยากได้อันนี้

สรุป
– ใช้ธีมใหม่ผมไม่ได้ปรับตัวยาก แต่ผู้ชมจะใช้เวลาปรับตัวกับธีมใหม่พอสมควร
– ผมพบโอกาสสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ จากธีมใหม่ธีมนี้
– รู้สึกตัวเองทำอะไรเก่งขึ้นจากการหัดใช้ Shortcodes
– แม้จะมีปัญหา แต่คิดว่าตัดสินใจดีแล้วที่เปลี่ยนธีมใหม่

การส่งซ่อม
– ผมเอาโน๊ตบุ๊ค acer v5-471P เป็น Windows 8 ส่งให้กับร้านสหคอม แถวบ้านที่หนองหาน
– ปกติเรื่องซอฟแวร์ถ้ามีปัญหาผมจัดการเองได้อยู่ แต่ Windows 8 ที่มากับเครื่องมันเป็นแบบ OEM ไม่มีแผ่นแถมมาให้ ถ้าเครื่องมีปัญหาอาจต้องส่งซ่อมอย่างเดียว แก้เองไม่ได้ เพราะปกติคอมมีปัญหาผมจะเข้า Safe Mode แล้วไปแก้ …แต่ Windows 8 มันต้องระบบได้ก่อน ถึงจะเข้าไปที่ Safe Mode ได้
– หลังจากผมเอาคอมไปส่งร้าน ก็มีการโทรคุยกัน เขาบอกจะทำให้อย่างนั้นอย่างนี้ บลาๆๆ แต่พอถึงวันที่เขาบอกจะเสร็จ ผมไปรับเครื่องตอนเย็น เขาบอกว่าทำไม่ได้ ให้เอาไปส่งศูนย์ …ตอนนั้นโมโหเล็กน้อยอุตส่าห์รอตั้งสามวัน เป็นช่างคอมแค่ลงวินโดวส์ทำไมทำไม่ได้
– การเอาส่งศูนย์มันจะใช้เวลานาน เพราะศูนย์ห่างจากบ้านร้อยกิโลฯ ไม่รู้ว่าจะได้วันไหน เพราะหนึ่งวันที่หายไปมันเสียรายได้ไปพอสมควร
– สรุปผมต้องเสียเวลาทำงาน ลูกค้าโทรมาต้องยกเลิกหมด ผมเลยแก้ปัญหาด้วยการลองติดตั้ง Windows เอง เพราะผมติดตั้งเป็นอยู่แล้ว (แต่ที่ไม่ทำแต่แรกเพราะคิดว่าร้านจะทำให้ได้ และผมยังไม่มีแผ่น)

ทดลองซ่อมเอง
– ผมไรท์แผ่นไฟล์ iso ของ Windows 8 Pro Preview ลงแผ่น DVD (ไปซื้อแผ่นมาจาก 7-11)
– เอาแผ่นมาใส่เครื่อง ทำการรีเซ้ต รีเฟรซอะไรก็ไม่ได้ มันบอกว่าต้องเอาแผ่นติดตั้งของเครื่องนี้มาใส่เท่านั้น
– เลยตัดสินใจลงวินโวส์ทับของตัวเดิม ปรากฏทำได้ คอมกลับมาทำงานเป็นปกติ …แต่ไม่มีตัว Activate
– ผมไปซื้อแผ่น Windows 8 SL OEM ราคา 2,840 จากร้าน Advice มาลง (ร้านนี้ขายถูกสุด อีกร้านคือ Banana แบบเดียวกันขาย 3,500 บาท)
– ตอนนี้คอมผมกลับมาใช้งานได้สม

ประสบการณ์ที่ได้
1. ก่อนจะไปซื้อผมคิดอยู่นานว่าจะซื้อ Windows 8 แบบไหนดี เพราะมันมีหลายราคา แต่ละร้านก็ขายไม่เหมือนกัน เท่าที่ทราบร้านขายทั่วไปมีแบบ Windows 8 Single Language กับ Windows 8 Pro และ 8 Pro แบบอัพเกรด

ราคาถูกที่สุดคือ Windows 8 Single Language แต่ข้อเสียคือมันเป็น OEM ติดตั้งได้แค่เครื่องเดียว ถ้าเปลี่ยนเครื่องใหม่จะเอาตัวที่ติดตั้งแล้วไปลงไม่ได้ …แต่ถ้าเครื่องมีปัญหาแล้วต้องการย้ายเครื่อง เขาบอกให้โทรไปหาศูนย์ Microsoft แล้วเขาจะช่วย

2. พบว่าหลายคนหลงซื้อ Windows 8 pro แบบอัพเกรด เพราะเห็นว่าราคาถูก แต่หารู้ไม่ว่าต้องมี Windows 7 ตัวแท้ก่อน

3. ระหว่างที่ผมบ่นเรื่อง Windows 8 นั้น Twitter ของไมโครซอฟท์ไทยได้เข้ามาสอบถามพูดคุย แต่ไม่ได้คุยอะไรกัมากเพราะผมเอาคอมส่งร้านแล้ว ผมรีบมาก และ Twitter ของไมโครซอฟท์ทำงานแบบพนักงานบริษัท คือจะทวีทจันทร์-ศุกร์ ช่วง 8.00-16.00 // ส่วนทวิทเตอร์ของ Acer เขา PR อย่างเดียวไม่ตอบคำถามใดๆเกี่ยวกับสินค้าของเขา

4. ถ้าไม่หมดหนทางจริงๆ ผมจะไม่เอาคอมส่งร้าน ส่วนร้านคอมร้านนั้น ผมจะไม่ไปเหยียบอีกเลย