แต่ก่อนนอนเมื่อคืน ผมลองกดปุ่ม เพิ่มเสียง+ลดเสียง+ปุ่ม Power กดค้างประมาณ 30 วิ ก็เห็นจุดสีแดงตรงหน้าจอ แล้วก็เอาสายเสียบคอม สักพักมันก็ชาร์จแล้วกลับมาใช้ได้ตามปกติ …ตอนนี้ความคิดที่จะถอยเครื่องใหม่เลยขอพักไว้ (หยอดกระปุกไว้ซื้อ iPad mini 2 ดีกว่า)

ผมใช้ Nexus 4 มาได้ 3 เดือนแล้วครับ โดยเหตุผลที่เลือกในตอนนั้นเพราะขายถูกกว่ารุ่นไฮเอ็นของแบรนด์อื่น และมีความมั่นใจว่าจะ “อัพเดทได้ยาวๆ” เพราะข้อเสียของมือถือ Android ส่วนใหญ่คือ มักจะไม่ได้รับการอัพเดทเมื่อมี Android รุ่นใหม่ออกมา หรือที่เขาเรียกกันสั้นๆว่า “ลอยแพ”

“ลอยแพ” เป็นเหตุผลหลักสำหรับผม คือเงินหมื่นที่จ่ายไป ก็อยากได้เครื่องที่ใช้ได้ยาวๆ เพราะข้อเสียของการไม่อัพเดท นอกจากจะไม่ได้ใช้อะไรใหม่ๆ สำคัญคือเครื่องจะเริ่ม “อืด” เหตุผลที่อืดผมเดาว่าแอพที่ทำออกมาใหม่ มันถูกทำให้เข้ากับ Android ใหม่มากกว่า แต่พอมาใช้กับรุ่นเดิม เครื่องก็เลยดูช้า

เหตุผลรองลงมาอีกที่เลือกซื้อคือ สเปกและการทำงานโดยรวม Nexus 4 ทำงานได้ลื่นอย่างน่าประทับใจ แต่ในส่วนของแอพบางตัว มันก็มีกระตุกบ้างถือเป็นเรื่อง “ธรรมชาติ” ของมือถือระบบ Android แล้วก็มีแอพที่ทำงานไม่ได้เลยบางตัว

แต่ส่วนที่ผมไม่ค่อยชอบคือ สี ที่มีให้เลือกสีเดียวคือสีดำ แม้ว่าจะมีเครื่องขาว แตมันขาวเฉพาะฝาหลัง ผมอยากได้เครื่องขาวทั้งเครื่อง

และข้อเสียอีกอย่างคือคนไทยใช้กันน้อย ทำให้มีการแชร์ปัญหากันน้อย และอุปกรณ์เสริมของ Nexus 4 ก็ไม่ค่อยมี คนที่ใช้ส่วนใหญ่ ก็เหมือนจะอยู่ในกลุ่ม Geek …แต่ในต่างประเทศ คนใช้เยอะพอสมควร ใครที่ไม่มีปัญหาการใช้ภาษาอังกฤษ ผมว่าใช้ Nexus 4 ได้ต่อไปแบบสบายๆ

สุดท้ายคือ ข้อดียิ่งกว่ารุ่นอื่นคือ ได้ใช้ Android รุ่นใหม่ เร็วกว่าใครเพื่อน คือทันทีที่ Google ประกาศจะให้อัพเดทรุ่นใหม่อย่างเป็นทางการ รุ่นแรกๆที่จะได้อัพก่อนคือมือถือตระกูล Nexus ส่วนแบรนด์อื่นๆ “ก็แล้วแต่ชะตากรรม” มือถือที่จะได้อัพเดทยาวๆอย่าง Nexus ส่วนใหญ่คือรุ่นไฮเอ็นของแบรนด์นั้นๆ เช่น Samsung S4, HTC ONE อย่างน้อยคือน่าจะใหม่ได้ 2 ปี

หน้าโฮม
ใครที่เคยใช้มือถือจอคมๆ จะสังเกตได้ง่ายว่าจอไม่ค่อยละเอียด แต่ถ้าเปลี่ยนวอลเปเปอร์เป็นสีเข้มๆหน่อย จอจะชัดขึ้น

ความไหลลื่น
ถ้าใส่วิดเจทมาก ในบางจังหว่ะของการใช้งานที่หน้าโฮมมันจะกระตุก ส่วนการเล่นแอพถ้าไม่ใช่ประเภทกราฟฟิคหนักหน่วง ก็ไม่มีปัญหาใดๆครับ

อีกหนึ่งความน่ารำคาญและทำการใช้ไม่ไหลลื่นคือหมุนจออัตโนมัติ ถ้าไม่ชอบใช้จอในแนวนอนก็ปิดไปเลยครับ

หน้ารวมแอพ
มีการแบ่งเมนูแอพกับวิดเจ็ต

มีวอลเปเปอร์แบบที่เห็นใน S4

เล่นแอพ 2 จอพร้อมๆกันได้ครับ

มีตัวจัดการไฟล์มาให้ด้วย

มีวิดเจ็ตพยากรณ์อากาศมาให้ ใช้ดีเลยทีเดียว

ในส่วนของการตั้งค่า ซัมซุงจัดอะไรมาเยอะแยะเลย แล้วก็มีการแบ่งเมนูดูแล้วเข้าใจไม่ยาก

แอพ S Translator ที่เห็นในโฆษณา แปลไทยไม่ได้นะ

แอพเพลงในเครื่องมี 2 ตัว คือของ Google กับของ Samsung (แต่ผมชอบของ Google มากกว่า)

S-Voice คล้ายๆกับ Siri บน iPhone …แต่ S-Voice เข้าใจเสียงได้ดีกว่านะ

มีโหมดใช้งานแบบง่ายด้วย ดูแล้วมันแปลกๆงัยก็ไม่รู้

Samsung App ถูกพัฒนามาได้น่าเข้ากว่า Play Store ซะอีก แต่ละแอพที่ขึ้นแนะนำน่าเล่นจริงๆ

มีแอพคู่มือมาให้ด้วย ให้ข้อมูลอย่างละเอียดเลยล่ะ

เกม
เกมที่ไม่ใช่ 3D กราฟฟิคหนักๆ เล่นได้สบายมากครับ เกม 3D หนักๆก็เล่นได้ แต่อยู่ในระดับที่ “แค่พอเล่นได้” คือมีกระตุกบ้าง

การถ่ายภาพ

กล้องหลังอยู่ในระดับที่ดีใช้ได้เลยทีเดียว กล้อง Note 2 ยังไม่ถ่ายดีเท่านี้ ภาพที่ได้คมชัดดี ถ้าชอบถ่ายภาพมือถือตัวนี้น่าจะเหมาะกับคุณ

แอพอื่นๆ

Group Play – ยังไม่ได้ลองครับ ทั้งบ้านมีมือถือซัมซุงอยู่เครื่องเดียว
S Memo – ถ้ามีปากกาก็วาดได้เลย เหมือนใช้แท็บเลท
Samsung Link – ต้องโหลดโปรแกรมลงคอมก่อนนะ ถึงจะใช้แอพนี้ได้
Story Album – ดี แต่เสียที่แชร์ไม่ได้

สรุปการใช้งาน
ถือว่าคุ้มค่ากับราคาหมื่นต้นๆ เล่นอะไรโอเคหมด ยกเว้นเกม 3D กราฟฟิคหนักๆ เท่านั้นเอง กล้องก็ถ่ายดี จอใหญ่ไม่คมแต่ไม่ได้เลวร้าย

ถ้าถามว่าตกลงแล้วน่าซื้อมั้ย ขอบอกว่าตัดสินใจถูกที่แนะนำเครื่องนี้ให้แม่

เหตุผลที่ผมแนะนำให้แม่เลือกใช้ คือตอนแรกแม่จะเอารุ่น Grand แต่เห็นว่าเสียงตอบรับไม่ดี คือคนใช้บ่นกันมากเรื่องจอ เวอร์ชั่นก็เก่าแล้วเลยแนะนำให้เลือกรุ่นใหม่ จอใหญ่กว่า เสปกดีกว่า ราคาแพงกว่านิดๆคือ 12,500 บาท ที่สำคัญคือเป็น Android ที่เล่นอะไรได้ครบ

เท่าที่ได้ลองใช้ก็คือว่าสมราคาครับ เล่นโซเชียลได้ครบ เล่นเกมได้ เกมประเภท 3D แบบกราฟฟิคหนักๆก็เล่นได้ แต่ CPU ระดับ Dual Core มันจะมีกระตุกบ้าง ในบางจังหว่ะของการใช้งาน

รูปร่างหน้าตา

หน้าตาคล้ายๆ S4 มีหลายอย่างที่เหมือน S4 เพียงแต่ฟีเจอร์ไม่เท่า S4

อันนี้คือด้านหลัง

มีกล้องถ่ายรูป + แฟลช ภาพถ่ายนี่โอเคเลย เดี๋ยวดูตัวอย่างภาพในตอนหน้า

มีกล้องหน้าด้วยนะครับ

ด้านล่างและปุ่มโฮม

ความใหญ่ของจอ ใช้ปากกาวาดได้สบายๆเลยครับ แล้วก็วาดขอบจอได้ไม่มีปัญหาอย่าง Note (ผมใช้ปากกา iPad วาด)

ภายในกล่องมีคู่มือ สายชาร์จ เต้าเสียบ สมอลทอร์ค คู่มือภาษาอังกฤษและไทย

ลองเอามาเทียบกับ iPhone 5 จะเห็นความใหญ่ได้ชัดเจน

ตัวเครื่องไม่บาง แต่ก็ไม่หนามากครับ

การพกพา
ผมเอาใส่กระเป๋ากางเกงได้ไม่มีปัญหาครับ แต่ต้องเอาใส่และเอาออกในท่ายืน ถ้าอยู่ในท่านั่งรู้สึกจะเอาเข้าออกยาก

จอภาพ
จอใหญ่แต่ไม่คมนะครับ แต่ดูได้ไม่รู้สึกว่าจอมันกาก

ความเป็นพลาสติก
รู้สึกไม่ใช่ของโหล มันโอเคกว่า S2 และ Note 2 ที่เคยใช้อยู่ ดูหรูกว่าซัมซุงรุ่นก่อนๆ

2 Sim
น่าสนใจตรงที่มี 2 ซิม แต่แม่ผมใช้ซิมเดียว

เสียง
ฟังได้ ดีอยู่ แต่ไม่ได้ดีเลิศ

อุปกรณ์เสริม
มีเคสขายแล้วครับ

สเปกแบบสรุป
– จอแสดงผล TFT-LCD กว้าง 5.8 นิ้ว ความละเอียด 540 x 960 พิกเซล
– ระบบปฏิบัติการ: Android 4.2.2
– หน่วยประมวลผล Dual Core 1.4 GHz
– หน่วยความจำ 8 GB และ RAM 1.5GB
– การ์ดหน่วยความจำ microSD สูงสุด 64 GB
– Bluetooth 4.0
– Micro USB 2.0
– กล้องดิจิตอล 8 ล้านพิกเซล มีแฟลช LED
– กล้องหน้า 1.9 ล้านพิกเซล
– แบตเตอรี่ Li-ion 2,600 mAh

1. แจ้งรูปแบบโฆษณา
คือมันตรวจสอบไม่ได้ จนกว่าจะได้ติดตั้งว่าแอพนี้ มันมีโฆษณาแฝงมาในรูปแบบไหน โฆษณาที่เป็นป้ายแบนเนอร์ผมไม่ได้รังเกียจอะไรเลยนะ มาแบบนี้ผมรับได้ แต่โฆษณาที่มาในรูปแบบของการแจ้งเตือน มันน่ารำคาญ ส่วนตัวไม่รู้สึกชอบ

2. Top App
ผมรู้สึกว่า Top App มันไม่โดน มันไม่เข้ากันกับมือถือที่ผมใช้ CPU ระดับ Quad Core ไม่ได้เอามาเล่นเกม 2D นะ …อยากเล่นเกมกราฟฟิคเจ๋งๆบ้าง แต่ Play Store ไม่ค่อยเอามาแนะนำ

3. คนไทยขายแอพได้
คนไทยซื้อแอพได้ ก็อยากให้คนไทยขายแอพได้บ้างนะครับ ผมเชื่อว่าหลายแอพคงขายไม่แพงเกินปัญญาจ่ายหรอก

4. มีระบบส่งแอพเป็น Gift
เด็กหลายคนใช้มือถือ Android แต่ไม่มีบัญชีธนาคาร หรือเดบิตสำหรับช็อปออนไลน์ แต่อยากซื้อแอพได้ การมีระบบส่งแอพเป็นของขวัญน่าจะลดปัญหานี้ได้

5. ระบบเติมเงินใน Play Store
ก็สืบเนื่องมาจากปัญหาในข้อ 4 บางแอพมันมีให้ซื้อไอเทม ผมคิดว่าน่าจะมีวิธีแบบว่าซื้อบัตรเงินสดตามร้านสะดวกซื้อ แล้วมาใช้เติมได้ ถ้าแบบนี้ทำได้จะดีมากๆ

6. คัดกรองแอพที่เข้มข้นกว่า
ปัญหาแอพปลอมมีให้เห็นอยู่เป็นระยะๆ แอพที่ไม่ได้มาตราฐาน แอพที่มีมัลแวร์ ฯลฯ ผมคิดว่าระบบยังคัดกรองได้ไม่ดีพอ

ความเจ๋ง

Multitask Display
ทำงานได้สองจอพร้อมกัน ทำได้แบบนี้เห็นจะมีแต่ซัมซุงที่ทำได้

ดูวิดีโอขณะเปิดแอพตัวอื่นได้
ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ก็สามารถดูวิดีโอไปด้วยได้ (ยกเว้นตอนถ่ายภาพ)

S Note กับ S Pen
สองสิ่งนี้ทำให้ Note เป็น Note …สมาร์ทโฟนรุ่นอื่นก็เคยทำแบบมีปากกาสำหรับเขียนด้วย แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่า Note 2

อื่นๆ
ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่แรงและอึด แบตที่ให้มาสามารถอยู่ได้ทั้งวัน ความเร็ว CPU quad-core 1.6 GHz และ RAM 2 GB เหลือกินเหลือใช้มากๆเลยครับสำหรับเล่นแอพและเกมส์เทพๆ

ความกาก

กล้อง
ถ่ายได้แย่กว่าหลายรุ่นที่ผมเคยใช้มา แม้แต่ Nokia 5800 มือถือสามปีก่อน ด้วยความละเอียด 3.2 PX กล้องยังเทพกว่าเลย …ปัญหาของ Note 2 อยู่ที่การคำนวนแสงของภาพ ทำได้ไม่สวยเลย (คือมันสวยแค่ในจอของ Samsung ดูผ่านจออื่นมันไม่สวยแล้ว)

การแก้คำ
หากจะก็อปปี้ วาง และแก้ไขคำ ทำได้ยากถ้าเล่นในแนวตั้งกับแอพบางตัว เพราะปุ่มสีฟ้ามันถูกคีบอร์ดกินพื้นที่ (ต้องเปลี่ยนมาใช้แนวนอน)

ซิงค์ Facebook
แอบงงที่ซิงค์รายชื่อ Facebook แล้วทำไมซิงค์รูปประจำตัวไม่ได้ จะแก้ไขรูปประจำตัวที่ถูกซิงค์ก็ไม่ได้

ซิงค์ Picasa ให้เอง
คือผมเข้าไปตั้งปิดซิงค์ภาพแล้วนะ ขนาดว่าลบบัญชีออก แล้วใส่ใหม่ แล้วปิดซิงค์ภาพ มันก็ยังซิงค์ให้เหมือนเดิม …เป็นอะไรที่รำคาญมาก เพราะภาพใน Picasa ผมมีเป็นพัน ทำให้เปิดดูภาพช้า

อื่นๆ
มีปัญหาที่เหมือน Android ทั่วๆไปอยู่ เช่น แอพปิดการทำงาน ซึ่ง Android เป็นแบบนี้ทุกเครื่องที่ผมเคยใช้งาน

สรุป
โดยสเปกถือว่า Note 2 เป็นรุ่นที่เทพที่สุดของบรรดาสมาร์ทโฟนระบบ Android ข้อเสียด้านอื่นๆที่ยกมาถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เรื่องใหญ่สำหรับผมคือ “กล้อง” ผมเคยใช้ S II นะ ซึ่งก็ถ่ายรูปสวยกว่านี้

Android กับ iOS เหมือนอาหารไทยกับอาหารญี่ปุ่น ทั้งสองไม่ได้อร่อยไปกว่ากันหรอก แต่อยู่ที่ว่าใครจะชอบกินแบบไหน

อิสระ
Android เหมือนคอมพิวเตอร์เลย ติดตั้งแอพจากไหนก็ได้ เชื่อมต่อแกับอุปกรณ์ภายนอกได้ง่าย (เสียบ USB กับคอมเครื่องไหนก็ได้) เข้าถึงไฟล์ต่างๆและปรับแต่งการตั้งค่าของเครื่องได้

ง่าย
iOS เป็นระบบที่มีความซับซ้อนน้อย จุดเด่นคือมีบริการจากส่วนกลางไม่ว่าจะเป็น iTunes, Games Center และ iCloud ทำให้ผู้ใช้รู้สึกได้ถึงความเป็นหนึ่งเดียวระบบ (บัญชีเดียวใช้บริการได้อย่างครอบคลุม) ที่น่าสนใจคือปลอดภัยจากมัลแวร์

จอมพลัง
ถ้าชอบการปรับแต่งความสามารถให้กับระบบ ต้องเลือก Android สามารถลงแอพเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเครื่อง ส่วนจุดเด่นของระบบนี้คือ “Multitask” สามารถทำงานได้หลายแอพพร้อมกันในเวลาเดียว

เสถียร
iOS ไม่ได้แค่ลื่นเฉพาะหน้าโฮมกรีนนะ แต่แอพต่างๆก็ไหลลื่น ประหยัดพลังงานแม้จะเปิดแอพค้างไว้ ที่สำคัญคือลงแอพมากขึ้น ประสิทธิภาพเครื่องไม่ได้ด้อยลงไปเลย

นักสร้างสรรค์
สำหรับ Android แค่เปลี่ยนธีมใหม่ ก็สร้างความรู้สึกว่าเหมือนได้เปลี่ยนเครื่องใหม่ สามารถปรับแต่งโฮมสรีนได้อย่างอิสระ และสำหรับคนที่ชอบแชทเป็นชีวิตจิตใจต้องเลือก Android มีคีบอร์ดเก่งๆให้เลือกหลายตัว ที่สำคัญพิมพ์แบบ Swipe ได้

นักเล่น
iOS โดดเด่นด้านความบันเทิง ทั้งเกมส์และแอพมีให้เลือกจำนวนมากและมีคุณภาพ มีแอพระดับพรีเมี่ยมจาก Apple และที่สำคัญคือเครื่องที่ใช้ iOS รุ่นใหม่ๆ เล่นแอพเก่าๆได้เลย

สรุป
หลายๆอย่างทั้ง iOS กับ Android นั้นทำได้เหมือนกัน แต่ที่ยกมานั้นเป็นจุดเด่นที่ระบบมี เป็นสิ่งที่ผู้ใช้ระดับ “ทั่วๆไป” พึงจะสัมผัสได้ แต่ถ้าคุณอยู่ในระดับ GEEK ทั้งสองระบบ ทำอะไรได้มากกว่าที่อธิบายไป

ตอนนี้ผมมีอยู่ 2 อุปรกณ์คือ Galaxy Note 2 และ iPad ..ทั้งสองอย่างไม่สามารถใช้แทนกันได้เลย แม้แต่เรื่องการวาด Note 2 นั้นเหมาะแก่การพกพา หยิบจับง่ายวาดได้เร็ว ส่วน iPad ใช้วาดกับงานที่ต้องการความละเอียด

S-PEN
จุดเด่นคือลื่นและแม่นยำ เป็นปากกาที่ออกแบบมาเพื่อการเขียนได้ดีมาก แต่ใช้กับอุปกรณ์ไม่ได้ ใช้บน Note ได้อย่างเดียว

รูปร่าง
คล้ายปากกาหัวแหลม น้ำหนักเบา

เวลาเขียน
ด้วยความที่มันมีน้ำหนักเบาและลื่น ตอนเขียนมือต้องนิ่ง เพราะเส้นมันไปเร็วมาก

ความเหมาะของงาน
เหมาะกับงานสเก็ตภาพหรืองานหยาบๆ ด้วยแอพที่มียังไม่สามารถทำงานระดับสูงได้ แต่ถ้าสไตล์การวาดไม่ใช่งานที่ละเอียด แค่ S-PEN กับ S-Note ก็เหลือเฟือแล้วครับ

ปากกา iPad
จะเป็นปากกา iPad หรือ iPhone ก็เอามาวาดบน Note ได้ ปากกาพวกนี้ยิ่งแพงก็ยิ่งดี สินค้าพวกนี้มันมีหลายเกรดและหลายแบบ …รุ่นที่ผมใช้อยู่นั้น 500 บาทขึ้นไป สำหรับคนที่รักการวาด ราคาเท่านี้ถือว่าไม่แพง

รูปร่าง
ปากกาส่วนใหญ่จะเป็นหัวคล้ายๆยางลบดินสอ ลื่นหรือไม่ลื่นอยู่ที่คุณภาพปากกาที่ใช้ แต่ที่ลื่นเท่า S-PEN ผมยังไม่เคยใช้ …ลื่นเท่า S-PEN คิดว่าคงไม่มี

เวลาเขียน
ลายเส้นมันไม่ได้ไหลเร็ว เวลาวาดจะทำได้นิ่งกว่า S-PEN …แต่เอามาวาดบน Note รู้สึกจะทำได้ดีกว่าวาดบน iPad ด้วยซ้ำไป

ความเหมาะของงาน
ถ้าต้องการความปราณีตผมว่าปากกา iPad ทำได้ดีกว่า แม้จะวาดบน Note ก็ตาม …แต่อยากจะบอกว่าถ้าใช้ iPad จะมีแอพให้เลือกสรรเยอะกว่า Note ที่เป็น Android มากๆ ดังนั้น โอกาสที่จะสร้างงานได้หลากหลายรูปแบบจึงมีมาก เหมาะทั้งที่จะใช้วาดเล่นๆไปจนถึงมืออาชีพ

สรุป
ปากกา iPad แม้จะวาดบน Note แล้วลายเส้นนิ่งกว่า ใช้กับ iPad ก็สร้างสรรค์งานได้หลากหลายกว่า ก็ไม่ได้หมายความว่าจะดีกว่า S-PEN นะ …มันอยู่ที่ความเหมาะสม ชอบเสก็ตภาพชอบทำอะไรเร็วๆ S-Note กับ S-PEN ทำคู่กันได้ดี แต่ถ้าเป็นงานที่ต้องการความปราณีตหรืองานที่หลากหลายกว่านั้น ใช้ iPad คู่กับปากกา iPad ไปเลย

และถ้าชอบอะไรที่พกพาสะดวกพอๆกับ Note ก็เห็นจะเป็น iPad mini ซึ่งผมยังไม่ได้ลอง ถ้ามีโอกาสแล้วจะมาเล่าสู่กันใหม่

[[ ผมตั้งกลุ่มผู้ใช้ Samsung Note บนเฟสบุ๊ค สนใจร่วมกลุ่ม > Galaxy Note Club Thailand ]]

ความเป็น S Note
เรียกได้ว่าไม่มีแอพตัวอื่นที่เหมาะกับ S-PEN เท่า S-NOTE …หรือจะบอกว่านักพัฒนารายอื่นไม่ค่อยสนใจทำแอพที่ทำงานให้เข้ากันกับ S-PEN ก็ว่าได้

สิ่งที่น่าสนใจของแอพตัวนี้ก็คือ มันพร้อมทุกอย่างสำหรับการบันทึก สนุกทั้งพิมพ์และวาด ใส่ข้อมูลลงไปในโน๊ตได้หลากหลาย และสามารถส่งออกข้อมูลออกมาเป็นไฟล์ภาพเพื่อนำไปใช้งานในด้านอื่นต่อ

ลองวาดการ์ตูนเล่นๆ ลำบากพอสมควร เส้นมันไปเร็วต้องขยายจอถึงจะวาดได้แม่นยำ ที่ชอบคือมีระบบป้องกันการสัมผัสจากมือ สามารถใช้มือวางลงบนจอขณะวาด

ถ้าจะหัดวาดภาพเหมือน S-NOTE ก็พอทำได้ …แม้จะไม่มีระบบเลเยอร์ เราสามารถวาดรูปทับรูปภาพ แล้วเลื่อนภาพออกทีหลังได้ …แต่จะดีกว่านี้ ถ้ามีเลเยอร์

ลองเขียนตัวหนังสือ ถ้าจะให้สวยก็ต้องซูมเขียน

สิ่งที่ผมชอบคือ ถ้าเขียนโน๊ตอยู่ แล้วถ่ายภาพเพื่อนำมาใส่โน๊ตได้ทันที การวางภาพก็อิสระ…ยังนึกเสียดาย สมัยเรียนผมน่าจะมีโน๊ตใช้

โน๊ตมีพู่กันและปากกาให้เปลี่ยนไม่มากนัก แต่พอดีใช้

โน๊ตมีระบบไอเดียสเก็ต แต่ผมไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่ ชอบวาดเองสนุกกว่า

ความเทพของโน๊ต สามารถดูได้จากตัวอย่างที่มีในแอพ …ซึ่งผู้ใช้ธรรมดาๆ คงทำแบบนั้นได้ยาก แต่ก็ถือเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ใช้โน๊ตได้

การใช้งานด้านอื่น

1. เปลี่ยนพื้นหลังได้ (กดปุ่มเมนู แล้วเลือกเปลี่ยนพื้นหลัง)
2. เลือกเทมเพลทได้ หลายเทมเพลทดูดีนะ แต่เทมเพลท HDB น่าจะต้องปรับปรุง
3. จัดโน๊ตเข้าแฟ้ม (หมวดหมู่)
4. ใส่สูตรคณิตศาสตร์ได้
5. พิมพ์ด้วยการเขียนได้ …แต่จะเขียนไทยลำบากมาก ต้องเขียนทีละตัว พิมพ์เองยังเร็วกว่า
6. ถ้าจะใช้มาวาดการ์ตูนสวยๆแบบมืออาชีพผมว่ายาก เพราะไม่มีระบบเลเยอร์ เวลาลงสีแล้วภาพจะไม่คมชัด
7. สรุป เหมาะกับเอามาวาดเล่นๆ นะ  ใช้เพื่อความบันเทิง ถ้าจะเอามาใช้ทำงาน ต้องเรียนรู้และฝึกฝนการใช้พอสมควร

ตอนนี้สัมผัส Samsung Note 2 มาเป็นวันที่สาม มีทั้งส่วนที่ผิดหวังและสมหวัง …ที่ผิดหวังคือ S-PEN ไม่เหมาะกับการวาดรูปที่ “จริงจัง” คือเอามาวาดเล่นๆ มันก็สนุกดี แต่ถ้าเอามาวาดสวยๆ ผมว่ายังยาก เพราะปากกามันลื่นเกินไป ปกติผมวาดรูปบน iPad ปากกามันไม่ลื่นเท่า S-PEN แต่ว่าแม่นยำดี ลายเส้นปราณีตกว่า และที่สำคัญ iPad มีแอพวาดรูปดีๆให้ใช้เยอะมาก ในขณะที่ Android ไม่ใช่อย่างนั้น ดังนั้น ปากกา S-PEN จึงเหมาะกับเอามาใช้ S-NOTE มากกว่า เพราะมีแอพอื่นรองรับไม่มาก

[[ ผมตั้งกลุ่มผู้ใช้ Samsung Note บนเฟสบุ๊ค สนใจร่วมกลุ่ม > Galaxy Note Club Thailand ]]

Home Screen
ลองใช้ธีมอื่นแล้ว สุดท้ายกลับมาตายรังที่ TouchWiz เพราะเป็นธีมที่ใช้ S-PEN ได้ดีที่สุด

กล้อง
ผมรู้สึกว่าคุณภาพไม่ค่อยดีนะ เข้าใจว่าไม่จุดขายของ Note แต่ไม่นึกว่าจะแย่ขนาดนี้ …คือมันไม่คมชัดเท่าที่ควร

S-PEN
ลื่นมาก เขียนง่าย แต่ชอบมีปัญหากับขอบจอ ขนาดว่าไม่ได้ใส่เคสอะไร …เอาปากกาอื่นเขียนขอบจอไม่เห็นจะเป็นปัญหา

S-NOTE
เป็นของที่คู่มากับ S-PEN วาดสนุกมาก สร้างสรรค์งานได้หลายแบบ แต่ผมเอามาวาดเล่นเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้คิดว่าจะเอามาทำงาน

Android 4.1
ถือว่าพอดีใช้เลย แม้จะไม่ใช่รุ่นใหม่ล่าสุดก็ตาม

S-Voice
ทำงานดี แต่ทำงานช้ามากเมื่อเทียบกับ Siri

S Suggest
เป็นคุณสมบัติที่น่าสนใจ แต่ในหมวดแนะนำแอพสำหรับใช้กับ S-PEN ผมรู้สึกว่ายังทำได้ไม่ดีพอ หลายตัวมันแค่ใช้วาดรูปได้ แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะทำงานร่วมกับ S-PEN ได้เต็มประสิทธิภาพ

ขนาดจอ
มือเดียวถือสบายเลย แต่ถ้าจะเล่นมือเดียวไม่ได้ ต้องไปตั้งค่า และถ้าจะกลับมาเล่นสองมือต้องกลับไปตั้งค่าอีก …ผมเล่นสองมือดีกว่า

แบต
ถือว่าทนอยู่นะ จอใหญ่ก็จริง แต่เขาให้แบตมา 3,100 อยู่ได้ทั้งวัน

ความไหลลื่น
เกิดอาการค้างและปิดตัวกับบางแอพเท่านั้น การใช้งานอื่นๆ ไหลลื่นดี

แกลเลอรี่
เป็นอะไรที่ห่วยแตกที่สุดในโลกที่สาม เมื่อไม่สามารถลบภาพที่ซิงค์จาก Picasa ได้

Samsung App
ดูดีกว่าแต่ก่อนอยู่ แต่แอพยังน้อย …ต่อให้ไม่มี Samsung App ก็อยู่ได้

ทำงานสองหน้าจอ
ไม่ค่อยได้ใช้งานเลย แต่วิธีทำง่ายมาก

NFC กับ S Beam
ยังไม่มีโอกาสได้ใช้เลย คือยังไม่รู้เลยว่าจะมีโอกาสได้ใช้รึปล่าว

สรุป
เอามาวาดรูปเล่นๆได้ วาดสนุกดี เขียนก็ลื่น แต่จะเอามาวาดแบบมืออาชีพนั้นทำได้ยาก ปากกาเหมือนจะลื่นเกิน มือไม่นิ่งก็ลำบาก …ส่วนการใช้งานทั่วไป เหมือนๆกับ Android รุ่นท็อป ติดอยู่ที่กล้องทำได้ไม่สมกับเป็นมือถือรุ่นท็อป

ก่อนหน้านั้นผมใช้ HTC ONE V สเปคเหมือนจะพอดีใช้นะ เพราะไม่ได้เอามาเล่นเกมส์ ผมเน้นเอามาเล่นแอพทั่วไป …แต่ปรากฏว่ายิ่งใช้ก็ยิ่งช้า พอลงแอพมากเข้ามันก็เริ่มอืด สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น มีเหตุผลดังนี้

1. แรมน้อย
cpu ผมว่ามันไม่น้อยเกินไปหรอก แต่แรมสามร้อยกว่าๆมันน้อยเกินไปจริงๆ

2. Android 4.0
ระบบที่ต่ำกว่าผมก็เคยใช้ ผมใช้มาตั้งแต่รุ่น Android 1.6 สเปคต่ำกว่านี้มันก็ยังลื่นดี แต่เพราะระบบมันพัฒนาขึ้น จะมาใช้สเปคเดิมไม่ได้ (ถ้าอยากได้ลื่นๆ) อย่างน้อยก็ Dual core และแรมที่มากกว่านี้

3. sd card
มือถือที่ดี ควรมีความจุเพียงพอแบบไม่ต้องใส่ Sd card ก็ได้ …เพราะตัวการ์ดนี่ล่ะ ที่ทำให้การประมวลผลช้ากว่าเดิม และ ONE V ก็เป็นมือถือที่ต้องใส่การ์ด ถ้าไม่ใส่จะใช้งานแอพบางตัวไม่ได้

นั่นคือบทเรียนที่ผ่านมา คือผมเป็นคนใช้ ONE V ควบคู่มากับ iPhone 4S แล้วมันเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน เพราะ iPhone มันลื่นมาก ลื่นกว่า Android ตัวท็อปหลายๆตัว …แล้วจะประสาอะไรกับ Android สเปคธรรมดาๆ

ความลื่นมีผลต่อการใช้งาน ?
ใช้อะไรลื่นๆแล้วมันสบายตาไม่อึดอัด เพราะมือถือเป็นสิ่งที่ใช้ทุกวัน ลื่นสำหรับผมไม่ใช่แค่นิ้วไถไปแล้วมันเร็วนะ แต่หมายถึงการใช้งานโดยรวมของเครื่อง ถ้าลื่นก็คือไม่มีอาการหน่วง ไม่กระตุก เช่น เวลาใช้คีย์บอร์ด บางเครื่องจะรันคีบอร์ดช้า…แบบนี้เรียกว่าไม่ลื่น

ดังนั้น การเลือกมือถือที่เหมาะกับ “สมัยนี้” คือการเลือกมือถือสเปคที่เหมาะกับระบบ Android 4.0 – 4.1 และเผื่อ 4.2 ด้วย …ตอนนี้ผมใช้ Samsung Galaxy Note 2 แต่ไม่ได้จะมาบอกให้เลือก Note 2 นะ แต่จะแนะนำให้เลือกตามความพอดีใช้ที่เหมาะกับยุคสมัย

แนวคิดการเลือก
1. ควรเป็น Android 4.0 – 4.1 หรือ 4.2 ถ้าต่ำกว่านี้แนะนำว่า “อย่าเลย” ระบบใหม่กับระบบเดิมมันต่างกันมาก ระบบใหม่มันเร็วและทำงานได้ง่ายขึ้นแบบเห็นได้ชัด และสวยกว่าด้วย
2. ความเร็ว CPU Dual core และแรม 512 เป็นอย่างต่ำ หรืออย่างดีก็แรม 1 GB ขึ้นไป…สเปคที่ต่ำกว่านี้ หากใช้ไปนานๆมีหน่วงแน่
3. อย่าเพิ่งเชื่อวิดีโอรีวิวมือถือ …คนที่รีวิวมือถือส่วนใหญ่เขาจะได้ “เครื่องใหม่” เป็นเครื่องที่ยังลงแอพไม่มากหรือยังไม่ลงเพิ่มเลย เราอาจจะรู้สึกว่ามันลื่น เร็ว และไม่น่าจะมีปัญหาการใช้งานใดๆ แต่พอเอาเข้าจริง เมื่อลงแอพและใช้งานไปนานๆ มือถือจะเริ่ม “ออกลาย” โดยเฉพาะ Android เราจะเห็นธาตุแท้ เมื่อตอนลงแอพเยอะๆ นี่แหล่ะ
4. มีความจุภายในหรือ ROM ที่เพียงพอโดยที่ไม่ต้องใช้ SD card ก็ได้ …รอม 4 GB ขึ้นไป ผมว่าโอเคเลย แต่จะใส่ SD card ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรนะ ถ้าเอาไว้ใส่เพลงใส่หนังอะไรแบบนี้ …ถ้าจะใส่ SD card ไว้ลงแอพหรือเอาไว้บันทึกไฟล์ ไม่แนะนำ
5. รองรับ 3G ทุกค่าย โดยเฉพาะคืน 2100 MHz จะเป็นคลื่นแห่งอนาคตของประเทศไทย (ส่วนประเทศอื่นเขากำลังไป 4G)
6. กล้องมี Auto focus …จำนวนพิกเซลไม่ใช่สิ่งสำคัญมากนัก เอาสัก 3.2 ขึ้นไปผมว่าก็โอเคแล้วสำหรับมือถือ สิ่งสำคัญอยู่ที่เลนส์และ Auto focus อยากรู้ว่าถ่ายสวยหรือไม่ให้ดูตัวอย่างจากภาพที่ถ่ายจริงโดยผู้ใช้ (ใม่ใช่ตัวอย่างจากโฆษณา)
7. ขนาดหน้าจอ เอาสัก 3.5 นิ้วผมว่าน้อยแล้วนะ ถ้าชอบแชทควรเป็นขนาดจอกว้างหน่อย มากกว่า 4 นิ้วยิ่งดี …จอ 4 นิ้วเดี๋ยวนี้แทบจะเป็นมาตรฐาน Android ยุคใหม่ไปแล้ว
8. แบตเตอรี่ ผมไม่แน่ใจว่าขั้นต่ำควรเป็นเท่าไหร่ ถ้าจะให้ดีก็ 1,500 mAh – 2,100 mAh ขึ้นไป
9. กล้องหน้า คุยแบบเห็นหน้าบนมือถือเดี๋ยวนี้เป็นเทคโนโลยีที่ธรรมดาสามัญไปแล้ว ถ้ามีก็ดี ไม่มีก็ไม่เป็นไร
10. GPS, A-GPS ควรมีเป็นพื้นฐานเลยนะ แม้ไม่ใช่นักเดินทาง แต่เวลาใช้แอพพวกเช็คอิน รายงานสภาพอากาศ ฯลฯ จะได้แม่นยำ
11. หน้าจอควรเป็น Capacitive แบบ Multi-Touch ได้ ยิ่งสัมผัสได้หลายจุดยิ่งดี

ราคา ?
มีเงิน 6 พันกว่าบาท ก็ได้แล้วนะสเปคแบบนี้ เป็นของ i-mobile ถ้าแบรนด์อื่นก็จะแพงหน่อย รุ่นท็อปๆที่มีในตลาดก็ประมาณ 2 หมื่นต้นๆ แบรนด์ที่นิยมได้แก่ Samsung Oppo LG Sony และมือถือตระกูล Nexus (ที่ Google จะเวียนให้ผู้ผลิตรายต่างๆทำ)