1. แจ้งรูปแบบโฆษณา
คือมันตรวจสอบไม่ได้ จนกว่าจะได้ติดตั้งว่าแอพนี้ มันมีโฆษณาแฝงมาในรูปแบบไหน โฆษณาที่เป็นป้ายแบนเนอร์ผมไม่ได้รังเกียจอะไรเลยนะ มาแบบนี้ผมรับได้ แต่โฆษณาที่มาในรูปแบบของการแจ้งเตือน มันน่ารำคาญ ส่วนตัวไม่รู้สึกชอบ

2. Top App
ผมรู้สึกว่า Top App มันไม่โดน มันไม่เข้ากันกับมือถือที่ผมใช้ CPU ระดับ Quad Core ไม่ได้เอามาเล่นเกม 2D นะ …อยากเล่นเกมกราฟฟิคเจ๋งๆบ้าง แต่ Play Store ไม่ค่อยเอามาแนะนำ

3. คนไทยขายแอพได้
คนไทยซื้อแอพได้ ก็อยากให้คนไทยขายแอพได้บ้างนะครับ ผมเชื่อว่าหลายแอพคงขายไม่แพงเกินปัญญาจ่ายหรอก

4. มีระบบส่งแอพเป็น Gift
เด็กหลายคนใช้มือถือ Android แต่ไม่มีบัญชีธนาคาร หรือเดบิตสำหรับช็อปออนไลน์ แต่อยากซื้อแอพได้ การมีระบบส่งแอพเป็นของขวัญน่าจะลดปัญหานี้ได้

5. ระบบเติมเงินใน Play Store
ก็สืบเนื่องมาจากปัญหาในข้อ 4 บางแอพมันมีให้ซื้อไอเทม ผมคิดว่าน่าจะมีวิธีแบบว่าซื้อบัตรเงินสดตามร้านสะดวกซื้อ แล้วมาใช้เติมได้ ถ้าแบบนี้ทำได้จะดีมากๆ

6. คัดกรองแอพที่เข้มข้นกว่า
ปัญหาแอพปลอมมีให้เห็นอยู่เป็นระยะๆ แอพที่ไม่ได้มาตราฐาน แอพที่มีมัลแวร์ ฯลฯ ผมคิดว่าระบบยังคัดกรองได้ไม่ดีพอ

ผมเริ่มเข้า Google+ น้อยลง จากที่เข้าไปดูทุกวัน ตอนนี้รู้สึกว่าไม่ต้องเข้าก็ได้   …เพราะผ่านมาหลายเดือนสำหรับผมมันก็ยังดูเงียบเหงา เมื่อเทียบกับ Facebook และ Twitter มันคนละบรรยากาศกันเลย

แม้ว่าช่วงนี้ Google+ กำลังผลักดันตัวเองด้วยการดึงเซเลปเข้ามาใช้  แต่คนรอบกายผมเพื่อนผมหลายคนยังคงอยู่กับ Facebook  แม้ว่าหลายคนบ่นว่าไม่ชอบ Timeline  แต่ก็ยังใช้อยู่นั่นแหล่ะ

แต่เหตุผลสำคัญที่จะเลิกใช้ เพราะรู้สึกพอเพียงกับ Facebook และ Twitter ใช้ทั้งสองอย่างแล้วมันไปด้วยกันได้ดี เทรนใหม่ๆและเรื่องราวใหม่ๆ หาดูได้ง่ายบน Facebook ดาราและไอดอลที่ชื่นชอบหลายคนก็เล่น Twitter

และเมื่อจุดเด่นของ Google+ ที่ทำให้คนชอบเข้าแต่เดิมคือการแชร์ภาพสวยๆ ภาพกิ๊ฟสนุกๆ มันก็เริ่มหมดความสำคัญลงเรื่อยๆ เมื่อ Facebook กับ Twitter ปรับปรุงให้ดูรูปที่แชร์ได้ง่ายขึ้น  ทำให้ความจำเป็นของการใช้ Google+ ลดน้อยลงเรื่อยๆ

ในฐานะคนทำงานออนไลน์ ถ้าจะถามถึงอิทธิพลของบุคคลและเว็บไซท์ จำนวน Like ของ Facebook และจำนวน Follower ยังดูมีค่ามากกว่าจำนวน + ของ Google

ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้…

ผมว่าจะหยุดใช้ Google+ ไปสักพัก แต่ยังจะไม่เลิกไปซะทีเดียว รอถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ก็คงจะเลิกไปโดยถาวร  …เพราะโซเชียลเน็ตเวิร์คถ้าใช้มากก็อาจทำให้สิ้นเปลืองเวลาชีวิตไปเปล่าๆ

ความสามารถของ Wolframalpha บางคนกล่าวว่ามันคือ Google Killer แต่ในความเป็นจริง สองอย่างนี้มันคนละเรื่องกัน Google ใช้หาข้อมูลจากเว็บอีกทอดหนึ่ง ซึ่งข้อมูลที่ได้นั้นอาจจะดียอดเยี่ยม …แต่สิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้คือ ข้อมูลที่ขึ้นหน้าแรกใน Google จากหลายๆเว็บนั้นมาจากการแข่งขันด้าน SEO ซึ่งบ่อยครั้งจะทำให้เจอข้อมูลที่ด้อยคุณภาพ หรืออาจไม่เกี่ยวกับคำที่เราค้นเลย

แต่สำหรับ Wolframalpha ข้อมูลที่ค้นมาได้คือคำตอบที่ถูกสร้างมาให้เรียบร้อยแล้ว เหมือนๆกับ Wikipedia ลองค้นคำว่า Thailand ในเว็บ Google เราอาจจะได้เว็บท่องเที่ยวมาเยอาะ ถ้าค้น Wikipedia เราจะได้ข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์และสังคมที่ให้รายละเอียดมาพอสมควร แต่ถ้าค้นจาก Wolframalpha จะพบข้อมูลเชิงสถิติ ทั้ง 3 เว็บจะให้ข้อมูลที่ต่างกัน

ข้อกำจัดของ Wolframalpha เป็นเว็บที่มีภาษาเดียวคือภาษาอังกฤษ และข้อมูลส่วนใหญ่จะมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา สำหรับคนไทย แน่นอนคือใช้งานได้ไม่เต็มที่ เพราะไม่มีข้อมูลที่เป็นภาษาไทย

แต่ความอัจริยะของมันอยู่ที่ “การคำนวน” ช่วยคิดเลขช่วยทำการบ้านคณิตศาสตร์

ตามตัวอย่าง ผมใส่สมการ x3 – 2×2 + 3x -4 = 0 ลงไป มันก็จะคำนวนคำตอบมาให้

ความฉลาดอื่นๆ ของ Wolframalpha เช่น ช่วยหาระยะทางจากที่ใดไปยังที่ใดก็ได้ ถามหาสภาพอากาศ ฯลฯ เท่าที่มันจะคำนวนได้

สำหรับผม…

มันคือเว็บที่เป็น idol ผมอยากทำแบบนี้ได้บ้าง แต่คงทำได้ไม่เท่า เพราะเขียนโปรแกรมเองไม่เป็นเลย ที่ทำได้ก็คงเป็นลักษณะของสารานุกรมแบบ Wiki แต่ที่ผมอยากจะทำต่างคือ “จะไม่เปิดให้เป็นสารานุกรมเสรี” คือผมชอบในแนวคิดนะ ทุกคนร่วมสร้างผลงานได้ แต่บางอย่าง Wiki ไม่มีเรื่องความเป็นกลางเท่าไหร่ เช่น การเมือง หรืออะไรก็ตามมันขึ้นอยู่กับว่าใครจะเขียนใส่ และบางอย่างมันก็ไม่อนุญาติให้เขียน

ผมก็เลยอยากทำสารานุกรมคล้ายๆ Wolframalpha + Wiki แต่ความสามารถคงไม่เท่าทั้ง 2 อย่างบวกกันจริงๆ ผมกำลังทำอยู่ และจะไม่ทำในเชิงเลียนแบบ แต่จะทำออกมาในแบบ “ของผม” เอง ผมเป็นคนที่ชอบการเข้าถึงง่าย อยากให้มันเป็นสารานุกรมที่มีความน่าค้นหา แต่คงจะไม่ทำแบบครอบจักรวาล จะค่อยๆขยายฐานความรู้สารานุกรมไปเรื่อยๆ

สำหรับ “จุดเด่น” ที่ผมวางไว้ ว่าถ้าหากเปิดตัว “สารานุกรม” ในแบบของผมขึ้นมา ก็จะเป็นข้อมูลที่เชื่อมโยงมายัง “โซเชียลเน็ตเวิร์ค” หรือเกร็ดความรู้เกี่ยวกับการใช้ Facebook และ Twitter …คาดว่าเป็นสิ่งที่สารานุกรมอื่นๆไม่มี เพราะว่าทำอะไรแล้วไม่มีจุดต่าง ก็ไม่รู้ว่าคนจะเข้ามาดูเราเพื่ออะไร

สำหรับปัญหาที่ผมเผชิญอยู่ตอนนี้คือเรื่องของการจัดระเบียบข้อมูล ผมชอบการทำแบบฟอร์มของ Wolframalpha มาก มันดูง่ายๆ ดูเป็นเป็นระเบียบเรียบร้อย ซึ่งในเชิงปฏิบัติบัตินั้นมันทำได้ยาก เพราะเป้าหมายต้องทำให้คนดูรู้เรื่อง และทำให้เป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์แบบที่ไม่เหมือนใคร

ตั้งแต่ทำเว็บมา ผมมีปัญหาทุกเดือน และเมื่อเดือนที่แล้วก็พบปัญหาใหญ่ เล่นเอารายได้เว็บหดไปหลายพัน นั่นก็คือภาพจาก Google Picasa บริการฝากรูปออนไลน์ ไม่แสดงภาพที่เว็บ หลายๆเว็บก็เป็น  ตอนนั้นผมค่อนข้างตกใจเพราะปัญหามันมาจาก Google และแก้อะไรไม่ได้ ผมจึงแก้ปัญหาเบื้องต้นด้วยการเปลี่ยนไปฝากรูปกับ Flickr.com แทน

ที่ผมบอกว่ามันเป็นป็นปัญหาใหญ่ เป็นเพราะเว็บผมนำเนื้อหาแบบมีรูปประกอบ มีรูปทุกบทความ และภาพส่วนใหญ่ก็ฝากไว้กับ Google  …ที่ผมต้องฝากรูปไว้กับ Google ก็เพื่อช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายโฮส ถ้าฝากรูปไว้กับโฮสค่าใช้จ่ายจะต้องสูงเพราะคนชอบก็อปรูปเราไปลงเว็บอื่น อีกทั้งการฝากรูปไว้กับโฮสตัวเอง ฐานข้อมูลจะมีขนาดใญ่ขึ้นเรื่อยๆ ผมว่ามันไม่เป็นผลดีกับเว็บเท่าไหร่

ตอนที่เจอปัญหาใหม่ๆ ผมเฝ้าดูปัญหาอยู่วันหนึ่ง เพราะคิดว่ามันจะเป็นแค่ชั่วคราว แต่ปรากฏว่าเลยมาสามวัน ภาพจาก Google ก็ไม่แสดงที่เว็บเช่นเคย มันจะแสดงเป็นบางครั้ง ซึ่งทำให้คนเข้าเว็บน้อยลง  ผมแก้ปัญหาด้วยการลองจ่ายเงินเพิ่ม 5$ ต่อปี เพื่อเพิ่มพื้นที่จัดเก็บภาพใน Google แต่ปัญหาก็ยังเหมือนเดิม

ในที่สุดผมก็หาทางออกด้วยการใช้บริการฝากรูปของ Flickr.com เป็นเว็บฝากรูปที่ค่อนข้างน่าเชื่อถือ เพราะคนใช้กันทั้งโลก ผมเห็นเว็บ Fail.in.th เขาก็ใช้ ก็เลยใช้บ้าง  แต่ต้องเสียค่าบริการเพิ่มในภายหลัง ประมาณ 700 กว่าบาท ต่อปี  ผมยอมจ่าย เพราะถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เสียแค่ 7 ร้อยกว่าบาท แต่ฝากรูปได้ไม่จำกัด

และหลังจากเปลี่ยนมาฝากรูปกับ Flickr.com  เว็บผมก็กลับมาอยู่ในสภาพปกติ คือภาพจาก Google ก็กลับมาแสดงบนหน้าเว็บเหมือนเดิม  จากกรณีนี้ ผมเดาๆว่าเป็นเพราะคนดูรูปเยอาะมากเกินไป Google จึงกำจัดการเข้าชม  การฝากรูปไว้กับ Flickr.com จึงเหมือนการกระจายแบนวิธออกไป  ช่วยลดภาระของภาพจาก Google

และหลังจากนี้ผมคงจะเปลี่ยนมาฝากรูปไว้กับ Flickr.com อย่างถาวร แต่ถ้ามีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอีกก็คงจะเปลี่ยนผู้ให้บริการฝากภาพไปเรื่อยๆ ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ

จัดเป็นหน้าสาธารณะ เป็นหน้าอัพเดทโพสของเพื่อนทุกคน เรารับรู้ความเคลื่อนไหวล่าสุดของเพื่อนๆได้จากหน้านี้

Facebook

ในหน้าแรกจะแสดงโพส แบ่งเป็นเรื่องเด่นและเรื่องล่าสุด สำหรับเรื่องเด่นส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่มีคนถูกใจหรือแสดงความคิดเห็น แถบซ้ายมือเป็นทางลัดเข้าสู่รายการต่างๆ  ขวามือมี Ticker สำหรับอัพเดทแบบ Real-Time แจ้งเตือนวันเกิด และมีโฆษณา

Google+

หน้าแรก Google+ คล้ายกับ Facebook แต่หน้านี้จะรวมเฉพาะเรื่องเด่นของคนที่เราติดตาม ซ้ายมือเป็นเมนูใช้แสดง Stream ในลักษณะต่างๆ และรายชื่อเพื่อนที่ออนไลน์  แถบขวามือคือเพื่อนที่อยู่ใน circles แนะนำการเพิ่มเพื่อน

Twitter

การแสดงโพสเรียงตามลำดับเวลา ยกเว้นเรื่องที่ RT คือการนำเรื่องในอดีตมาแสดงในเวลาปัจจุบัน   แต่หน้าโพสทวิทเตอร์ไม่เหมือนใครตรที่แสดงเฉพาะตัวหนังสือ ไม่สามารถแสดงภาพและคลิป ยกเว้นจะคลิ๊กเข้าไปดู  ส่วนแถบขวามือ แสดงจำนวนทวีท ข้อความทวีทล่าสุด จำนวน Following Follower บุคคลที่แนะนำให้ Follow และแสดง Trends ยอดนิยมล่าสุด

หน้าโปรไฟล์

หน้านี้ถือว่าเป็นหน้าสำหรับรวมเรื่องราวส่วนตัว และข้อมูลส่วนตัวต่างๆ ของผู้ใช้แต่ละคน

 Facebook

แนวคิดหน้าโปรไฟล์ของ Facebook จัดแสดงเป็นรูปแบบ Facebook Timeline คือการเอา infograph มาผสมกับรูปแบบโปรไฟล์เดิม ทำให้ย้อนเวลากลับไปยังอดีตได้เร็วขึ้น แต่อดีตที่ Facebook เลือกมาแสดง จะเป็นโพสเด่นๆของเราในตอนนั้น สรุปข้อมูลเพื่อน และการใช้แอพ

สำหรับข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ คือ ประวัติการเรียนการทำาน เพื่อน สิ่งที่สนใจ สถานที่ที่เคยไป ผู้ติดตาม และสมุดบันทึก

Twitter

หน้าโปรไฟล์ ของ Twitter ดูเรียบง่ายที่สุด ด้านบนเป็น mini bio ในส่วนของ Timeline รวมข้อความที่เราทวีทและ RT เริ่มตั้งแต่ปัจจุบันย้อนหลังไปเรื่อยๆ ขวามือแสดงข้อมูล จำนวนทวีท ผู้ติดตาม ภาพที่อัพโหลดล่าสุด

Google+

หน้าโปรไฟล์คล้ายกับหน้า Facebook เก่า แถบข้างแสดงรูปโปรไฟล์ และเพื่อนใน Circle ด้านบนเป็นรูปเล็กๆ 5 รูปใช้สื่อถึงเอกลักษณ์ของผู้ใช้ โพสต่างๆ ถูกเรียงตามลำดับเวลา  และยังมีข้อมูลส่วนตัว รูปภาพ วิดีโอ  +1 และ Buzz

สรุป

ผมยกมาให้เห็นภาพของการใช้หน้าแรกและหน้าโปรไฟล์เท่านั้น ทั้ง 3 โซเชียลเน็ตเวิร์คนี้ยัมีส่วนๆอีกที่แตกต่างงกัน เช่น แชท แฟนเพจ Hangout Hashtag และอื่นๆ ที่มีไม่เหมือนกัน ความสามารถรวมๆ ดูเด่น ดูด้อย แตกต่างกันไป ทั้งนี้มันขึ้นอยู่กับ “ความชอบ” หรือ “ความเข้าใจ” อย่างเช่นหลายคนไม่เข้าใจ Twitter เขาก็แค่สมัครทวีทบ้างแล้วไม่เล่นต่อ  หลายคนเลือกเล่นอย่างใดอย่างหนึ่ง หลายคนเล่นควบ Facebook-Twitter  Twitter-Google  Facebook-Google หรือเล่นทั้งสามอย่างผมก็มีอยู่บ้าง

หลังจาก Google+ ได้เผยตัวออกสู่สาธารณะ (อย่างจำกัด) Facebook มีข่าวใหม่ออกมาเรื่อยๆ ปรับปรุงไปหลายอย่าง แต่บางอย่างก็ถูกยุบตัวไป  ส่วน Google+ นับตั้งแต่วันเปิดตัว รู้สึกจะมีเรื่องให้ตื่นเต้นแค่สองอย่างคือ มีผู้ใช้ 20 ล้านคน ภายใน 3 สัปดาห์ และมาร์ค ผู้ก่อตั้งเฟสบุ๊ค สมัครใช้ Google+ แต่มีคน Follow เป็นอันดับหนึ่งของโลก แซงหน้า CEO ของ Google เฉยเลย

สรุปอย่างสั้นๆ การมาของ Google+ ทำให้ Facebook พัฒนาไปหลายด้าน

ปัจจุบัน ผมยังใช้ Google+ อยู่ นับตั้งแต่ช่วงแรกๆที่ได้ใช้ จนถึงวันนี้ พบว่ามีทั้งคนที่เลิกเล่น และเข้ามาใหม่ อย่างต่อเนื่อง  แต่จะว่าไป ผมก็ยังเข้า Facebook – Twitter มากกว่า Google+ อยู่ดี  เหตุผล

1. ความสนุกของ Google+ ถูกจำกัดอยู่แค่หน้า Timeline กับภาพ Gif
2. เกมส์ใน Google+ ไม่มีอะไรให้ตื่นเต้น
3. เพื่อนๆ ส่วนใหญ่ยังใช้ Facebook – Twitter เป็นหลัก

เมื่อวันก่อน Google+ ได้เปิดโอกาสให้ผู้ใช้  invite เพื่อนแบบลิ้งค์ได้  แทนที่จะเป็นการเพิ่มเพื่อนด้วยการส่งอีเมล์

ใครที่ต้องการเล่น Google+ ตามลิ้งค์ด้านล่างนี้เลยนะครับ แค่ 150 คนแรก

>>>> เข้าใช้ Google Plus คลิ๊ก <<<<

Google+ เปิดตัวมาได้สักระยะ ใครๆก็ว่ามันคือคู่แข่ง Facebook แต่ด้วยความสามารถของ Google+ตอนนี้่เทียบกับวันที่เปิดตัวแล้ว ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ  แต่ทางฝั่งของ Facebook ในวันที่ Google+ เปิดตัว Facebook ได้ปรับปรุงอะไรไปเยอาะพอสมควร

Games & App

เฟสบุ๊คมีเกมส์ให้เล่นเยอาะมาก รวมทั้งแอพต่างๆ ไว้เล่นคลายเครียด ความสนุกของเกมส์บนเฟสบุ๊คคือ การได้เล่นร่วมกับเพื่อนในเฟส

แฟนเพจ & กลุ่ม

เฟสบุ๊คมีแฟนเพจเป็นหน้า Business Brand สำหรับสร้างชมรม คลับ ร้านค้าต่างๆ  และยังมีกลุ่ม เอาไว้พูดคุยกันกับกลุ่มคนที่สนใจในเรื่องเดียวกัน หรือเป็นประเภทเพื่อนเก่า ศิษเก่ามารวมตัวกัน

Circle

ระบบการเพิ่มเพื่อนแบบวงล้อของ Google+ ถูกใจคนที่ใช้ทวิทเตอร์นะ แต่คนที่เล่นแต่เฟสบุ๊คจะมึนๆนิดหน่อย  เพราะมันไม่ใช่การ add friend แล้วรอการตอบรับแบบเฟสบุ๊ค  แต่เป็นการเพิ่มบุคคลที่สนใจเข้าวงล้อต่างๆที่เราสร้างขึ้น  ในขณะเดียวกัน ถ้าไม่มีใครเอาเราเข้าวงล้อ ก็ไม่มีใครรับรู้เรื่องที่เราโพส (แนวคิดเดียวกับทวิทเตอร์)

ระบบวิเคราะห์ภาพถ่าย

Google+ มีระบบวิเคราะห์ภาพถ่าย  พร้อมบอกข้อมูลภาพว่าใช้กล้องตัวไหนถ่าย แต่ถ้าเป็นภาพถ่ายจากมือถือจะไม่มีข้อมูล

การเชื่อมต่อ

Facebook มีการเชื่อมต่อกันกับแอพและเว็บไซท์ภายนอกมากมาย เช่น สมัครสมาชิกผ่าน Facebook หลายๆเว็บถึงกับนำคอมเม้นแบบเฟสบุ๊คมาติดตั้งกันเลยทีเดียว คือถ้าไม่ใช้เฟสบุ๊คก็จะคอมเม้นไม่ได้

มือถือ & แท็บเลท

เราเล่นเฟสบุ๊คได้หลายอุปกรณ์ ที่สำคัญมีแอพจากผู้สร้างคนอื่นๆ ให้เลือกเล่นตั้งเยอาะ ทั้งบนมือถือมีครบทุกแฟทฟอร์ม มือถือธรรมดายังเล่นเฟสบุ๊คได้เลย ส่วน Google+ ยังมีแค่มือถือ Android – iPhone

Hangouts

การคุยแบบเห็นหน้าของ Google+ ทำได้เยี่ยมยอดกว่า facebook คือคุยกันได้เป็นกลุ่ม ที่เจ๋งไปกว่านั้นระหว่างคุยเอาคลิปยูทูปมาเปิดให้เพื่อนดูได้

Gif

Google+ โพสภาพเป็นกิ๊ฟได้ เพิ่มสีสันการโพสได้มากเลยทีเดียว  ในขณะที่เฟสบุ๊คต้องใช้แอพเสริม

ชื่อผู้ใช้

Google+ ได้ทำการแบนผู้ที่ใช้ชื่อปลอม และส่งเสริมให้คนจริงๆเล่นกันมากกว่าทำตัวเป็นบอท แนวคิดนี้ตรงกันข้ามกับ Facebook ที่จะใช้ชื่อยังไงก็ได้  หลายคนสมัครเฟสบุ๊คไว้หลายบัญชี เพื่อเล่นเกมส์ และโฆษณาชวนเชื่อ ขายของแบบยัดเยียด  สร้างความเดือดร้อนกันไปทั่ว แม้ว่าจะมีระบบแจ้งเตือนบุคคลปลอมแปลง แต่เฟสบุ๊คหยุดความหน้าทนของคนพวกนี้ไม่ได้

ส่งท้าย

สำหรับการใช้งานอื่นของของ Facebook กับ Google มันพอๆกันครับแม้จะต่างกันแต่ก็ไม่ได้คิดว่าดีเยี่ยมเท่าไหร่นัก Facebook เหมือนจะเป็นโซเชียลที่สมบูรณ์แล้ว มีพร้อมทุกอย่าง แต่ถ้า Google+ ตามทันเมื่อไหร่ อนาคตยังไงก็ไม่แน่นอน  แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ล่ะ Google+ ยังพัฒนาเป็นเต่าคลาน ช่วงนี้จัดเป็นช่วงน้ำขึ้นของ Google+ …แต่ไม่รีบตัก ทำตัวเหมือนมือถือ Nokia ที่ออกรุ่นมาแบบกั๊กๆ ในขณะที่คู่แข่งเขาจัดเต็มทุกการใช้งาน

สำหรับใครที่ยังไม่ได้เล่น Google Plus สักที ลงชื่อได้ที่นี่ครับ ให้คอมเม้นเป็น Gmail นะครับ จะส่ง invite ให้

1. ไม่มีสาวๆ

เข้า Google+ วันนี้มีแต่ Geek ผู้หญิงหายาก  เกือบจะกลายเป็นโซเชีบลเน็ตเวิร์คเกย์

2. ไม่มีหน้า Band Page

หน้า Band Page บน Facebook ก็คือหน้าแฟนเพจ มันสำคัญนะสำหรับการสร้างชุมชนในโซเชียลเน็ตเวิร์ค

3 ไม่มี App & Games

Google+ คือ Facebook ที่ไม่มี App และ Games

4. รองรับบราวเซอร์ อย่างจำกัด

ลองเล่นบน iPad บางครั้งพบปัญหา จะเปิด Google+ บน Opera ก็ไม่ได้

5. เอาภาพจาก Picasa มารวมกับอลบั้มภาพ

ผมเกลียด Google+ ก็ตรงนี้หล่ะ เพราะอลบั้มภาพใน Picasa ของผมมีแต่ภาพประกอบเว็บ

6. Spark ไม่ Spark

หมวดหมู่ที่ Spark สร้างขึ้นเหมาะกับคนอเมริกามากกว่า

7. การค้นหาที่เหมือนไม่ใช่ Google

ในช่องค้นหาของ Google+ ได้แบ่งค้นหาคน และค้นหาอื่นๆใน Spark …ถ้าเทียบกับ Facebook เหมือนจะทำได้ดีกว่า ตรงที่ช่องเดียวค้นหาได้ทุกอย่าง

8. ชื่อ URL ไม่หล่อ

ถือว่าเหี้ยเลยทีเดียว กับชื่อโปรไฟล์ที่เป็นตัวเลข ไม่สวยงาม ไม่น่าใช้อย่างยิ่ง

9. ยังไม่ Integrate กับเว็บไซท์

ที่ Facebook นำหน้าโซเชียลตัวอื่นๆไปหลายขุม ส่วนหนึ่งก็มาจากบรรดาเว็บต่างๆ มี Integrate กับเฟสบุ๊คเนี่ยล่ะ