อุปกรณ์
iPad กับปากกาที่ใช้สำหรับ iPad …ผมเคยใช้นิ้ววาด ไม่เป็นอะไรที่ถนัดเลย

แอพ
ผมใช้ Sketchbook Pro เป็นแอพวาดรูปที่ผมชอบมากที่สุด โดยเฉพาะเวอร์ชั่นใหม่ เราสามารถกำหนดขนาดของหน้ากระดาษได้ ซึ่งนั่นก็ทำให้เราทำงานได้หลากหลายมากขึ้น เช่น ถ้าจะวาดภาพปก Facebook ก็สามารถกำหนดขนาดได้อย่างแม่นยำ

จะวาดรูปอะไร
ผมจะพาวาดรูปการ์ตูนที่เป็นรูปคนนะ ผมชอบวาดรูปคนเพราะกำลังพัฒนาฝีมือการวาด และอยากรู้ว่าการ์ตูนที่ผมวาดมันพัฒนามาอย่างไร ให้ลองเข้าไปดูอลบั้มรูปในแฟนเพจผมนะ ลองย้อนไปดูรูปแรกๆที่ผมวาด แล้วจะรู้ว่ากากมาก กว่าจะออกมาดูดีได้ค่อนข้างใช้เวลา

แนะนำ
ถ้าจะหัดวาด ไม่ต้องห่วงความงามของการ์ตูน ไม่ต้องปราณีตอะไรทั้งนั้น “โดยเฉพาะรุปแรกๆที่วาด” ขอให้วาดให้เสร็จ วาดไปก่อนวาดบ่อยๆเดี๋ยวก็จะสวยขึ้นเอง

เริ่มวาด

ให้เลือกปากกาสำหรับวาด ที่ผมใช้บ่อยคือปากกาที่อยู่ในภาพ (มันไม่มีชื่อเลยไม่รู้จะบอกยังงัย) แล้วทำเส้นให้เล็กลงหน่อย

วาดใบหน้า (เป็นรูปตัว U)

วาดตาและปาก

วาดขอบตา จมูก และหู

วาดคิ้ว

วาดผม

ตอนนี้วาดหน้าเสร็จแล้วนะครับ

ต่อมาให้วาดตัว …มือใหม่แนะนำให้วาดแค่ครึ่งตัวแบบที่ผมวาด มันง่ายดี เอาไว้วาดจนชินแล้วค่อยวาดแบบเต็มๆตัว วาดท่าทางใหม่ๆ

การลงสี
การลงสีไม่ได้ยากเลย แต่ต้องเข้าใจการใช้ Layer (เลเยอร์) ซึ่งตรงนี้จะยาก …แต่ถ้าเคยใช้ Photoshop มาแล้ว น่าจะรู้ว่าอะไรคือเลเยอร์

สร้างเลเยอร์ขึ้นมา 1 อัน (แล้วให้เลเยอร์อยู่ตำแหน่งล่าง)

จากนั้นให้ระบายลงไปที่หน้า …สังเกตว่าสีที่ระบายจะไม่กินเส้นขอบ เพราะใช้ระบบเลเยอร์

สร้างมาอีก 1 เลเยอร์ แล้วระบายสีขาวที่ลูกตา

จากนั้น กลับที่เลเยอร์แรก แล้วทำการเติมสีตัวการ์ตูน (ถ้าวาดเส้นได้เรียบร้อย ตอนที่เติมสี สีจะไม่ไหลออก)

ลองเพิ่มสีสันให้การ์ตูนด้วยฟันหนู เติมลงไปที่หน้า แล้วระบายสีนิดหน่อยชมพูหรือแดงแล้วแต่ชอบ

เสร็จแล้วครับ

ตอนนี้ผมมีอยู่ 2 อุปรกณ์คือ Galaxy Note 2 และ iPad ..ทั้งสองอย่างไม่สามารถใช้แทนกันได้เลย แม้แต่เรื่องการวาด Note 2 นั้นเหมาะแก่การพกพา หยิบจับง่ายวาดได้เร็ว ส่วน iPad ใช้วาดกับงานที่ต้องการความละเอียด

S-PEN
จุดเด่นคือลื่นและแม่นยำ เป็นปากกาที่ออกแบบมาเพื่อการเขียนได้ดีมาก แต่ใช้กับอุปกรณ์ไม่ได้ ใช้บน Note ได้อย่างเดียว

รูปร่าง
คล้ายปากกาหัวแหลม น้ำหนักเบา

เวลาเขียน
ด้วยความที่มันมีน้ำหนักเบาและลื่น ตอนเขียนมือต้องนิ่ง เพราะเส้นมันไปเร็วมาก

ความเหมาะของงาน
เหมาะกับงานสเก็ตภาพหรืองานหยาบๆ ด้วยแอพที่มียังไม่สามารถทำงานระดับสูงได้ แต่ถ้าสไตล์การวาดไม่ใช่งานที่ละเอียด แค่ S-PEN กับ S-Note ก็เหลือเฟือแล้วครับ

ปากกา iPad
จะเป็นปากกา iPad หรือ iPhone ก็เอามาวาดบน Note ได้ ปากกาพวกนี้ยิ่งแพงก็ยิ่งดี สินค้าพวกนี้มันมีหลายเกรดและหลายแบบ …รุ่นที่ผมใช้อยู่นั้น 500 บาทขึ้นไป สำหรับคนที่รักการวาด ราคาเท่านี้ถือว่าไม่แพง

รูปร่าง
ปากกาส่วนใหญ่จะเป็นหัวคล้ายๆยางลบดินสอ ลื่นหรือไม่ลื่นอยู่ที่คุณภาพปากกาที่ใช้ แต่ที่ลื่นเท่า S-PEN ผมยังไม่เคยใช้ …ลื่นเท่า S-PEN คิดว่าคงไม่มี

เวลาเขียน
ลายเส้นมันไม่ได้ไหลเร็ว เวลาวาดจะทำได้นิ่งกว่า S-PEN …แต่เอามาวาดบน Note รู้สึกจะทำได้ดีกว่าวาดบน iPad ด้วยซ้ำไป

ความเหมาะของงาน
ถ้าต้องการความปราณีตผมว่าปากกา iPad ทำได้ดีกว่า แม้จะวาดบน Note ก็ตาม …แต่อยากจะบอกว่าถ้าใช้ iPad จะมีแอพให้เลือกสรรเยอะกว่า Note ที่เป็น Android มากๆ ดังนั้น โอกาสที่จะสร้างงานได้หลากหลายรูปแบบจึงมีมาก เหมาะทั้งที่จะใช้วาดเล่นๆไปจนถึงมืออาชีพ

สรุป
ปากกา iPad แม้จะวาดบน Note แล้วลายเส้นนิ่งกว่า ใช้กับ iPad ก็สร้างสรรค์งานได้หลากหลายกว่า ก็ไม่ได้หมายความว่าจะดีกว่า S-PEN นะ …มันอยู่ที่ความเหมาะสม ชอบเสก็ตภาพชอบทำอะไรเร็วๆ S-Note กับ S-PEN ทำคู่กันได้ดี แต่ถ้าเป็นงานที่ต้องการความปราณีตหรืองานที่หลากหลายกว่านั้น ใช้ iPad คู่กับปากกา iPad ไปเลย

และถ้าชอบอะไรที่พกพาสะดวกพอๆกับ Note ก็เห็นจะเป็น iPad mini ซึ่งผมยังไม่ได้ลอง ถ้ามีโอกาสแล้วจะมาเล่าสู่กันใหม่

ทำงานฟรีแลนซ์ iPad ก็ช่วยได้เยอะอยู่นะ ส่วนตัวซื้อแอพไว้เยอะมาก โดยเฉพาะพวกจดบันทึกและการจัดการ…แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้ ใช้บ่อยจริงๆเป็นแอพวาดรูปและแอพจัดการแฟนเพจ ส่วนงานทำพรีเซนท์แต่เดิมจะใช้ Keynote บน iPad ทำ สุดท้ายก็กลับไปใช้บนคอม รวมทั้งแอพหลายตัวที่เคยซื้อมาพอใช้ไปมันไม่ถนัดก็กลับไปใช้บนคอม เลยมีแค่แอพบางตัวที่ใช้มาอย่างสม่ำเสมอและการเป็นแอพที่ขาดไม่ได้เลย

SketchBook Pro
อันนี้เอามาวาดรูปลงแฟนเพจ Maahalai และใช้วาดรูปสำหรับลูกค้า เหตุที่ใช้แอพตัวนี้เพราะ SketchBook เป็นแอพที่ขึ้นชื่อสำหรับมืออาชีพอยู่แล้ว การใช้งานก็ไม่ยาก และมีพร้อมทุกอย่างสำหรับผม

PENGO
แอพวาดรูปอีกตัว ความสามารถไม่เหลือล้นเท่า SketchBook แต่ที่ผมชอบตรงที่กำหนดหน้ากระดาษให้เป็น 1:1 ได้ เวลาวาดภาพจะได้อัพขึ้น Instagram ได้สะดวก

Facebook Pages Manager
เป็นแอพของ Facebook เอง เอาไว้จัดการแฟนเพจให้ของตัวเองและของลูกค้า …ตั้งแต่มีแอพตัวนี้ ชีวิตผมง่ายขึ้นเยอะเลย เพราะงานหลักคือบริหารแฟนเพจ

mSecure
เป็นแอพที่ขาดไม่ได้เลย ผมใช้มันเก็บรหัสลับต่างๆ ที่ไปสมัครตามเว็บ และเว็บของตัวเอง แต่ที่ใช้บ่อยๆคือเก็บพาสเวิร์ดของธนาคาร เพราะต้องคอยเช็คเงินอยู่เสมอเวลาที่ลูกค้าแจ้งโอนเงิน …เวลาลูกค้าโอนเงินมา ผมไม่ใช้เช็ค SMS เป็นหลักนะ ผมเช็คออนไลน์กับธนาคาร

GarageBand
ผมไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับดนตรีเลยนะ แต่เวลาที่มีลูกค้าจ้างให้อัพเสียงลงพาวเวอร์พ้อยท์ ก็ใช้แอพตัวนี้ล่ะบันทึกเสียง…มันดีกว่าแอพหลายตัวที่เคยใช้ตรงที่มีระบบตัดเสียงรบกวน และส่งออกเสียงเข้าคอมพิวเตอร์ได้ง่ายๆผ่านอีเมล์

Calculator Pro
ส่วนตัวแล้วคิดอยู่แค่ บวก ลบ คูณ หาร เท่านั้นล่ะ ผมเคยโหลดตอนเขาแจกฟรี ก็เลยได้ใช้ตลอกดมา …ที่ผมใช้บ่อยๆคือเวลาลูกค้ามาสั่งซื้อแอพ และคำนวนค่าจ้างงานต่างๆ

Picshop
แอพแก้ไขภาพที่ครบเครื่องทีเดียว ก่อนหน้านั้นผมใช้ Snapseed ครบสามารถมันก็พอๆกันและคนไทยใช้กันเยอะมาก …แต่ผมไม่ชอบหน้าตาของแอพ เลยเปลี่ยนมาใช้ Picshop

Photo Transfer App
แอพตัวนี้ยังใช้อยู่เรื่อยมา เวลาที่ผมรีวิวแอพเสร็จ ก็จะใช้แอพโอนภาพจาก iPad ไป PC ผ่านสัญญาณไวไฟ

TeamViewer
เวลาที่แฟนเพจลูกค้ามีปัญหา แล้วผมไม่เข้าใจปัญหา หรือเข้าไปจัดการแฟนเพจไม่ได้ ผมจะใช้แอพตัวนี้เข้าไปจัดการคอมพิวเตอร์ลูกค้า ทำให้ช่วยแก้ไขงานได้เสมือนว่านั่งทำงานอยู่กับลูกค้าเลยทีเดียว

iMoney
แอพนี้ใช้เช็คค่าเงินบาท ต้องคอยติดตามอยู่ทุกๆอาทิตย์ เพราะงานอีกอย่างของผมคือรับฝากซื้อแอพ เอาไว้วิเคราะห์สถานการณ์ว่าในแต่ละอาทิตย์จะได้กำไรเท่าไหร่ ต่อการสั่งซื้อที่ฝากมาแต่ละวัน

แต่เดิมผมจะใช้ PenGo วาดรูปมาตลอด แต่เดิมวาดลงที่เพจส่วนตัว…แต่หมดมุข ก็หันไปวาดรูปในเชิงที่ให้ความรู้บ้าง นิดๆหน่อยๆ บนเพจ Maahalai โดยแปลงโฉมมาสคอตใหม่ให้ดูน่ารัก สำคัญคือวาดการ์ตูนแบบนี้มันวาดง่ายดี

เหตุผลที่เลือกแอพ Sketchbook Pro วาด เพราะซื้อมานานแล้ว ไม่ค่อยได้ใช้ และแอพมันก็เทพดีอยากจะหัดใช้ให้เป็นแบบจริงๆจังบ้าง อีกเหตุผลหนึ่งคือมันเลือกสีได้ง่ายดี ผมชอบวาดรูปโดยใช้สีอ่อนๆ โดยเฉพาะสีชมพูในแอพ Sketchbook ดูแล้วมันนุ่มนวลดี (สีชมพูเป็นสีประจำเว็บ Maahalai.com)

สำหรับทีเด็ดของ Sketchbook Pro มันมีหัวปากกาที่หลากหลาย…แต่ผมใช้อยู่สองสามอย่างเท่านั้น จริงๆแอพไหนผมก็ใช้วาดรูปได้ แต่ขอมีฟังชันสำคัญคือ “เลเยอร์” สิ่งนี้ขาดไม่ได้เลย สำหรับการวาดรูปบน iPad เพราะจะทำให้ลายเส้นคมขึ้น สีไม่เบียดกัน ดูเป็นระเบียบดี

อีกฟังชันที่สำคัญคือมันเก็บไฟล์ขึ้นออนไลน์ได้ ถ้าหากเปลี่ยนเครื่อง ก็ไม่กังวล เพราะไฟล์ภาพยังอยู่ …ผมชอบ Sketchbook ตรงนี้

การ์ตูนตัวนี้ผมใช้ชื่อว่า meme (อ่านว่าเมเม่) เป็นมาสคอตประจำเว็บ maahalai ตัวเก่ามันเป็นสีชมพู หน้าตาคล้ายหมี …แต่มันวาดยาก เลยวาดใหม่เป็นตัวสีขาว วาดง่ายกว่าเดิม และทำให้ใช้เวลาไม่นาน ในการวาดต่อ 1 ภาพ

ต่อไป
ก็คงจะพัฒนาการ์ตูนตัวนี้ไปเรื่อยๆ มันเป็นสิ่งที่คิดไว้นานแล้ว …เพียงแต่ตอนนั้นทำไม่เป็น เมื่อทำเป็นแล้วก็ลองทำ

เกี่ยวกับแอพวาดรูปก็ได้รีวิวไปบ้าง จนล่าสุดได้มาเจอแอพ PenGo ซึ่งก็ไม่ได้เทพอะไรมากนัก หากเทียบกับ SketchBook แล้ว PenGo อาจจะดูด้อยกว่า …แต่ที่ผมชอบใช้ PenGo วาด เพราะมันง่ายสำหรับแนววาดรูปอย่างผม

รูปที่ชอบวาดเอาลงเพจ ผมได้แรงบันดาลใจมาจากเพจ “คิดว่าดีก็ทำไป” แล้วอยู่ๆเขาก็โพสประกาศลาแฟนๆ ปิดเพจแล้วลบเพจไปในที่สุด เล่นเอางงไปตามๆกัน …คือแอดมินเขาอินดี้มาก แต่ไม่คิดว่าจะอินดี้ได้ขนาดนี้

หลังจากเพจนั้นปิดตัวไป ก็ลองวาดๆดูเองบ้าง โดยวาดเลียนแบบลายเส้นการ์ตูนของเขา แล้วคิดคำใส่เอง …แต่คงจะไม่เลียนแบบอย่างนี้ตลอดไปหรอกนะ วาดไปเรื่อยๆ เดี๋ยวจะพัฒนาลายเส้นไปเอง แต่ตอนนี้วาดเลียนแบบเขาไปก่อน เพราะเป็นการ์ตูนที่ผมวาดได้โดยไม่ต้องใช้ทักษะอะไรมาก

หลังจากวาดก็ลองเอาลงเพจ ปรากฏว่ามีคนเก็ตแล้วกด Like ให้ ก็เลยวาดต่ออีก 4-5 ภาพ และหลังจากนี้ก็คงจะมีผลงานแนวๆนี้ออกมาเรื่อยๆ …โดยคอนเซปของงานคือ “ถ้าเขาพูดได้” ไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ สิ่งของ หากว่าพูดได้ จะพูดว่าอะไร

แล้วแอพที่วาดรูปแบบนี้ได้ดีก็คือ PenGo (จริงๆแล้ว SketchBook ก็วาดรูปแบบนี้ได้นะ แต่จะใช้เทคนิคต่างกัน ตอนนี้ผมชินกับเครื่องมือของ PenGo ก็เลยใช้ PenGo วาด)

จุดเด่นของแอพอยู่ที่เครื่องมือวาด ไม่ว่าเครื่องมือไหนๆ จุดขายก็อยู่ที่เครื่องมือวาดรูปนี่ล่ะครับ จุดเด่นของ PenGo อยู่ที่ดูแล้วเข้าใจง่าย ปรับพู่กันได้ง่าย

มีระบบเลเยอร์ บันทึกงานเป็น PSD เอาไปทำต่อที่ Photoshop ได้

แต่ข้อเสียคือระบบ Gallery ของแอพ ไม่มีปุ่มสำหรับสร้างงานใหม่ ต้องเปิดงานเก่าขึ้นมา กดปุ่มรูปกระดาษ แล้วเลือก New ถึงจะสร้างงานใหม่ได้

ตอนนี้มีอีกหลายรูปที่จะวาด คงไม่ได้กระหน่ำวาด แต่จะทยอยวาด วาดตามที่อยากวาด วาดตามที่มีแรง

เมื่อวานได้แนะนำ Android ไป วันนี้เป็นคิวของ iPad …ที่ผมใช้อยู่เป็น iPad 2 เป็นเครื่องที่ใช้ลงแอพใหม่ๆทุกวัน แต่ก็ลบแอพออกทุกวัน เก็บอันที่ถูกใจจริงๆเท่านั้นไว้ใช้ต่อ และแอพที่ผมใช้บ่อยๆ ก็เป็นแอพที่คนทั่วๆไปใช้ได้ มีทั้งฟรีและไม่ฟรี แอพที่ผมใช้เป็นของแท้ ซื้อมาแพงสุดก็แค่ $9 และแอพส่วนใหญ่ในเครื่องก็เป็นแอพเสียเงินซื้อ ส่วนใหญ่ที่ซื้อมาก็คุ้มทั้งนั้น หลายแอพผมซื้อมาตั้งแต่ใช้ iPad รุ่นแรก เอามาใช้ต่อใน iPad 2 มันก็ทำงานได้ดีขึ้น

ส่วน New iPad ก็เห็นว่าจะมาขายในไทยช่วง 27 เมษยน ที่จะถึงนี้ ผมคงไม่ได้ซื้อในเร็วๆนี้ เพราะ iPad 2 ก็ยังทำงานดีอยู่ …ตอนแรกที่อยากได้ New iPad เพราะกล้อง แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นแล้ว เพราะ Instagram มาลง Android ก็ใช้กล้องมือถือเล่น Instagram และว่าจะรอดูรีวิวจากหลายๆสำนักก่อน เห็นว่า New iPad มีปัญหาเครื่องร้อน ไม่รู้เครื่องที่เข้าไทยจะมีปัญหาแบบนั้นหรือเปล่า …เพราะที่ผมชอบ iPad มากๆคือเครื่องมันไม่ร้อนเลย

แอพที่ผมใช้บ่อยๆ (ในช่วงนี้)

Cover Maker Pro
เป็นแอพใช้ทำภาพ Facebook Cover เป็นแอพที่ไม่ฟรี แต่มันคุ้มค่า (สำหรับผม) เพราะต้องใช้บ่อยๆ ใช้มาทำแล้วก็มาแจกภาพในบล็อกนี้ล่ะ

Photo Transfer
รีวิวแอพทุกครั้งต้องโอนภาพเข้าคอม ซึ่งไม่สะดวกเลยถ้าจะใช้วิธีต่อ iPad กับคอมพิวเตอร์ แต่แอพนี้ใช้วิธีต่อไวไฟ และโอนภาพผ่านบราวเซอร์ และเป็นแอพไม่ฟรี

HICALC HD
เป็นเครื่องคิดเลขที่ฟังชั่นเยอาะมาก แต่ผมแค่ใช้ทดเลขธรรมดาๆ ที่จริงไม่ได้ชอบแอพนี้เท่าไหร่ แอพเครื่องคิดเลขอีกตัวหนึ่งผมก็มี แต่เพราะไอคอนแอพนี้มันโดดเด่น เลยได้เปิดใช้บ่อยกว่า

Dolphin HD
นอกจาก Safari ผมใช้แอพนี้เข้าเว็บหนักๆ หรือเวลาจะเล่นเฟส นอกจากแอพ Facebook ก็เล่นจาก Dolphin นี่ล่ะ

GarageBand
เล่นเกมส์บางทีมันก็ไม่ได้คลายเครียด เลยซื้อแอพนี้มาใช้ผ่อนคลายด้วยการเล่นดนตรีโดยเฉพาะ ผมไม่ใช่นักดนตรีอะไรเลย แต่รู้สึกว่าแอพนี้ใช้ง่าย เล่นดนตรีไม่เป็นก็เล่นได้

Instapad
แอพนี้ใช้ดูรูปจาก Instagram ทำออกมาสวยดูดี แจกฟรีซะด้วย แต่เสียอยู่อย่าง การทำงานมันอืดๆจนรำคาญ ถ้ามีแอพที่ดีกว่า ก็พร้อมจะเปลี่ยนไปใช้แอพใหม่

Pages
ใช้ทำหนังสือและจดงาน ซื้อมาแพง แต่ถือว่าคุ้มค่า เพราะทำงานร่วมกับ iCould ต่อให้ iPad หาย งานก็ยังอยู่

ebooks.in.th
เป็นร้านหนังสือที่ทำออกได้ถูกใจทีเดียว หลังจากมีการพัฒนามาเรื่อยๆจนสเถียร และมีหนังสือฟรีและไม่ฟรีให้เลือกอ่านเยอาะพอสมควร

AppShopper
สำหรับผมมันคือแอพยอดเยี่ยมตลอดกาล ใช้ค้นหาแอพลดราคา และแอพฟรีมาใหม่ที่ได้รับความนิยม

Phone Drive
ผมใช้เป็นคลังเก็บไฟล์ ที่ชอบคือใช้เก็บไฟล์ได้ทุกชนิด (แต่ iPad มันเปิดไฟล์ไม่ได้ทุกชนิดนะ) และโอนข้อมูลผ่านไวไฟระหว่าง iPad กับคอมพิวเตอร์

Box
เป็นแอพฝากไฟล์ที่กำลังมาแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และผมกำลังจะใช้มันแทน Dropbox

Twitter Manager
เป็นแอพ iPhone แต่เอามาใช้บน iPad แอพนี้เยี่ยมมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะฟรี ผมเอาไว้ใช้ดุ Follower และ Black List (จะเอามาดูว่าใคร Un เราก็ได้นะ)

FIFA12
เป็นเกมส์ฟุตบอลที่วางขายวันแรก ก็ซื้อมาเล่นเลย ลักษณะการเล่นมันเป็นธรรมชาติกว่าวินนิ่งเสียอีก

แอพอื่นๆที่ใช้บ่อย ก็เป็นแอพ Facebook กับ Twitter และแอพที่แถมมากับเครื่องอย่าง Photo, Safari, App Store แอพที่แทบจะไม่ได้ใช้เลยคือ Photo Booth, FaceTime, Message, แผงหนังสือพิมพ์ และเตือนความจำ

สรุปสิ่งที่ถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่

1. Retina Display 9.7 นิ้ว ความละเอียด 2048×1536 พิกเซล
2. ซีพียู Apple A5X
3. กล้องหลัง 5 ล้านพิกเซล
4. ถ่ายวิดีโอได้ 1080p
5. รองรับ 4G LTE
6. ตัวเครื่องหนาขึ้น 9.4 มม. (รุ่นเดิม 8.8 มม.) และหนักกว่าเดิม
7. iOS 5.1
8. Dictation เปลี่ยนเสียงพูดให้เป็นตัวษร

รายละเอียดเพิ่มเติม >> http://www.apple.com/ipad/features/

สำหรับผม เหตุผลที่เลือกใช้ iPad ไม่ได้มองที่สเปกมาแต่ไหนแต่ไรความ ผมสนใจ “คอนเทนต์” ที่จะเอามายัดใส่ iPad มากกว่า …แต่การจัดสเปกแรงๆ ก็จะทำให้ใช้แอพได้ดียิ่งขึ้น

สิ่งที่ผมสนใจ

The New iPad
ชื่อดูยาวและเป็นชื่อที่แปลกใจผมมาก นักวิเคราะห์เดากันพลาดหมด ผมเองมีชื่อที่เดาๆไว้ในใจอยู่ก็เดาพลาด แอบคิดว่าเป็น iPad3 หรือเป็น iPad 2s แต่การใช้ The New iPad มันก็เก๋ไปอีกแบบ

กล้อง 5 ล้าน
กล้อง iPad 2 กากมากๆ แต่ The New iPad ที่ถูกอัพมาเป็น 5 ล้านพิกเซล ช่วยลดปมด้อยของ iPad ได้เยอาะเลยครับ แต่คนที่ใช้ iPhone ด้วยอยู่แล้วเรื่องกล้องคงไม่มีปัญหา เพราะถ่ายรูปด้วย iPhone แล้วส่งเข้า iCloud ภาพก็ไปอยู่บน iPad แล้ว

Apple A5X และ Retina Display
Apple A5X เขาบอกว่าแรงกว่า Tegra 3 ถึงสี่เท่าตัว เหนือกว่า Apple A5 สองเท่า นั่นหมายความว่าในอนาคตผู้ใช้ iPad อาจจะได้สัมผัสแอพและเกมส์เจ๋งๆที่ต้องใช้พลังซีพียูสูง และการปรับจอให้เป็น Retina Display จะทำให้เห็นภาพหรือกราฟฟิคที่งดงามกว่าเดิม

สิ่งที่ผิดคาด

ตัวเครื่องหนาขึ้น
แม้จะนิดเดียวนะ แต่รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่

ไม่มี Siri
ไม่ได้ผิดหวังอะไร ที่ The New iPad จะไม่มี Siri แต่อยากให้มีมากๆ

แล้วจะซื้อไหม ?

ถามผมตอนนี้ยังรู้สึกไม่มั่นใจ มันไม่เหมือนกับระหว่าง iPad 1 และ iPad 2 ที่มีความแตกต่างกันชัดเจนทั้งสเปกและรูปร่าง …ถามถึงรูปร่างผมชอบ iPad 2 มากกว่า เบาและบางกว่า (แต่ไม่ได้ต่างกันมากนะ มันก็แค่นิดเดียว) ถ้าจะซื้อใหม่ ผมว่าจะรอไปก่อน อาจจะเป็นปลายปีหรือปีหน้าก็ได้ …The New iPad ยังไม่จูงใจผม เหมือนตอนใช้ iPad 1 แล้วเห็น iPad 2

สรุป
The New iPad ถูกเสริมความเป็นคอมพิวเตอร์มากขึ้น ดังที่ลุงจ็อบส์เคยบอกไว้ว่า iPad คือ Post PC

หลังจากที่เจเบรค iPad 2 มาอย่างยากเย็น แอพตัวแรกทีโหลดมาลองจาก Cydia คือ Sara เป็นโคลนนิ่ง Siri แต่ความสามารถโดยรวมไม่ได้ดีไปกว่า Siri นัก ยังต้องการการปรับปรุงอีกเยอาะ

แต่ความน่าสนใจของ Sara มันอยู่ที่ใช้ได้กับอุปกรณ์หลายรุ่น ได้แก่ iPod Touch 2G, iPod touch 3G, iPod touch 4G, iPad 1G, iPad 2, iPhone 2G, iPhone 3G, iPhone 3GS, และ iPhone 4 (สำหรับเครื่องเจลเบรคเท่านั้น)

การพูดกับ Sara จะต่างกับ Siri ตรงที่ Sara มันไม่ใช่ AI ที่ชาญฉลาด มันทำงานในลักษณะจำคำสั่งเสียงมากกว่า

Sara นี่เป็นแอพนพะ ไม่ได้ใช้เซิฟเวอร์ของ Siri สร้างโดยนักพัฒนาชาวเวียดนาม  เข้าไปติดตามแฟนเพจได้ที่ https://www.facebook.com/vietSARA

ยังมีบั๊กอยู่เยอาะ  ..แต่นักพัฒนาเขาไม่ได้ทิ้งนะ ก็ให้ไปที่แฟนเพจ ไปติดตามแล้วโพสแจ้งปัญหาให้กับเขาได้

วิธีติดตั้ง

1. add source : http://isoftjsc.com
2. แล้วติดตั้งแอพที่ชื่อ Sara
3. ช่วงนี้เขาเพิ่งปรับปรุงเวอร์ชั่น อาจจะโหลดช้าหน่อย เพราะมีคนโหลดเยอาะ ถ้าอยากเร็ว แนะนำให้ติดตั้ง Activator กับ SBSetting รอก่อนเลยครับ

รุ่นที่ผมใช้เป็น Sara 0.2.1

ถามหาข้อมูล โดยรวมนั้นยังต้องปรับปรุง เพราะมีอยู่หลายคำที่ไม่สามารถหาข้อมูลให้ได้ แม้แต่คำง่ายๆอย่าง Cat กับ Dog มันยังตอบมามั่วๆ

แต่ Sara ได้ลดทอนความกากของการค้นหาข้อมูลด้วยการเพิ่มทางเลือกให้ค้นหาจาก Wikipedia และ Google ได้

ถามถึงสภาพอากาศ ดูข้อมูลได้แค่วันเดียวครับ

เช็คเมล์ได้

ใช้ให้ถ่ายรูปก็ได้

ถามว่ามีหนังเรื่องอะไร เหมือนจะดูได้แค่ชื่อเรื่อง

ลองใส่ภาษาไทย มันยังไม่รู้ภาษานะครับ แต่ในอนาคตคนที่พัฒนาเขาจะทำให้ใช้ได้หลายภาษา

การตั้งค่า ~ ถ้าอยากให้ sara เรียกชื่อเราถูก ก็เข้ามาใส่ชื่อ กำหนดข้อมุลอื่นๆตามความเหมาะสม

คำสั่งอื่นๆ
– Where am I ถามว่าตอนนี้อยู่ไหน
– Call + โทรหาเพื่อน
– Open เปิดแอพ
– near me ค้นหาสถานที่ที่อยู่ไกล้ๆ
– Go to จะไปไหน
– Search for หาข้อมูลจาก Google
– Translate to แปลภาษา

คำสั่งอื่นๆ เรียนรู้ได้ใน http://martinpham.com/sara/sara.pdf

ขนาดของ iPad มี 3 แบบ 16GB 32GB และ 64GB คำถามคือจะถ้าจะไปซื้อ iPad ควรเลือกเอาขนาดไหนดี …ส่วน iPad ที่ผมใช้อยู่เป็น iPad 16 GB Wifi

ที่ผมเลือกเป็นรุ่น 16 GB Wifi เพราะเลือกตามการใช้งาน “ส่วนตัว” ผมไม่ใช่นักสะสม เกมส์ไหนเล่นเบื่อเล่นเสร็จแล้วก็ลบ แอพในเครื่องก็ไม่ได้มีมาก ส่วนใหญ่มีแต่แอพที่ใช้งานจริงๆ

ลองคำนวนพื้นที่จากการใช้งาน

1. รุ่น 16 GB แต่พื้นที่การใช้งานจริงอยู่ที่ 13.9 GB
2. เกมส์ที่ผมเล่นได้ทั้งปีมีอยู่เกมส์เดียว Fifa 12 เนื่อที่ 1 GB
3. เล่นบ้างเป็นึครั้งคราวคือ Infinity Blade เนื้อที่ 1 GB
4. เกมส์อื่นๆที่ผมโหลดมาเล่นเพื่อรีวิวแอพ รวมๆกันก็ไม่เกิน 1 GB (เล่นเบื่อแล้วลบ ไม่ได้เล่นประจำ)
5. ในเครื่องผมไม่มีเพลงเลย รูปภาพก็มีไม่มาก รวมกันไม่ถึง 100 MB
6. แอพที่ใช้งานประจำ เช่น เครื่องคิดเลข ดูคลิป อ่านหนังสือ จัดการภาพ วาดรูป บราวเซอร์ โซเชียล ฯลฯ พื้นที่รวมๆ ไม่เกิน 500 MB

สรุปการใช้งานของผมรวมๆกัน มากสุดก็อยู่ที่ 5GB …เพราะแอพและเกมส์ทุกอย่าง ผมติดตั้งเอง และไม่ใช่นักสะสม

…แต่
ถ้าชอบดูหนัง ฟังเพลง ติดเกมส์ เล่นแอพ สะสมภาพ ชอบโหลด …iPad 16 GB ไม่เพียงพอ คิดแบบง่ายๆ ถ้าเป็นคนชอบเล่นเกมส์ ถ้าเป็นเกมส์ใหญ่ 1 เกมส์จะใช้พื้นที่ประมาณ 1GB …ลง iPad 16 GB ได้เพียง 12 เกมส์เอง

แต่ถ้าเป็นคอเกมส์แบบไม่ได้ติดว่าจะต้องเล่นแต่เกมส์ใหญ่อะไร เน้นเกมส์เล่นพอสนุกๆ มีตั้งแต่เกมส์ที่ใช้พื้นที่ 30 – 100 MB …ลง iPad 16 GB ได้ 400-130 เกมส์ (ลำพัง 20 เกมส์ผมว่าเล่นจนเหนื่อยแล้วครับ)

ถ้าชอบดูหนัง + ฟังเพลง อันนี้คำนวนไม่ยากครับ เปิดคอมขึ้นมาแล้วดูว่าในโฟลเดอร์เพลงและหนังที่ดูว่ามีกี่ GB สมมุติว่า 1 เพลง 10 MB แล้วลงเพลงใส่ iPad 1,000 เพลง ก็ใช้พื้นที่ไป 10 GB แต่ถ้าชอบดุหนัง เรื่องหนึ่งก็เป็น GB แล้ว ลองคำนวนดูเองว่าอยากให้เครื่องมีหนังติดตัวไปกี่เรื่อง

ถ้าเป็นคนทำงาน ใช้ iPad จัดการเอกสาร พรีเซ้นงานลูกค้า 16 GB พอเพียงครับ แต่ถ้าเป็นงานด้านเพลง ไฟล์มีเดียต่างๆ 32 GB จะอุ่นใจกว่า

โดยสรุป

1. นิสัยอย่างผม 16 GB ก็เหลือเฟือแล้ว เน้นเล่นเฟส เข้าเว็บ เกมส์นิดๆหน่อยๆ
2. ถ้าชอบเล่นเกมส์แบบจัดหนัก 32 GB ไปเลย
3. ถ้าชอบฟังเพลง 16 GB ก็พอมั้ง
4. สะสมภาพ 16 GB ก็พอแล้ว
5. ชอบอ่านหนังสือ 16 GB
6. ชอบดูหนัง + โหลดคลิป 32-64 GB
7. เน้นทำงานเอกสาร 16 GB
8. ทำวิดีโอ + ตัดต่อ 32 GB

เล่นแบบพอประมาณ 16 GB จัดหนัก 32 GB ใช้ iPad เป็นทุกอย่าง 64 GB

ปัญหาที่ตามมา…

มันทำให้ใช้ได้ไม่เต็มที่  เพราะการลงแอพจากทางร้านคือการใช้บัญชีคนอื่นมาลงเครื่อง  หมายความว่า แอพทั้งหมดนั้นมาจากบัญชีอื่น จะใช้บัญชีของตัวเองดาวโหลดไม่ได้ ถ้าจะโหลดแอพต้องขอรหัสผ่านจากทางร้านมาด้วย  หรือ อยากได้แอพไหนก็กลับไปให้ร้านทำให้  …การใช้เครื่องตระกูล i ของคุณขาดความเป็นอิสระไปทันที

อย่างที่สองคือทำให้เปิดใช้บริการบางอย่างไม่ได้ เพราะมันเป็นบัญชีของคนอื่น เช่น Facetime เล่นไม่ได้

แต่ถ้าซื้อมาแล้ว….

ถ้าลงแอพจากทางร้านมาเรียบร้อยแล้ว แต่อยากให้เครื่องกลับมาปกติ ก็ต้องทำการ Reset ครับ

วิธีทำ เข้าไปที่ ตั้งค่า >> ทั่วไป >> รีเซ็ท >> ลบข้อมูลและค่าติดตั้งทั้งหมด

หลังจากนั้นก็รอให้เครื่องรีเซ็ท อาจจะนานหน่อย  เสร็จแล้วข้อมูลจะหายหมด เราต้องตั้งค่าเองทุกอย่างตั้งแต่ต้น และถ้ายังไม่เคยสมัคร Apple id ก็ให้เตรียมการสมัคร  เพื่อที่จะใช้ iPhone iPod iPad ได้อย่างคุ้มค่า

ทำไมต้องสมัคร Apple id เอง

เพราะมันจะทำให้เราเป็นเจ้าของเครื่องและเจ้าของแอพโดยแท้จริง

เตรียมสมัคร Apple id

1. ต้องมีบัตรเคดิต หรือ ถ้าไม่มีก็ให้ใช้ “บัตรเดบิต” (ATM) มันเป็นบัตรที่นักเรียนนักศึกษาก็มีได้นะ
2. กรณีที่ใช้ “บัตรเดบิต”  ต้องเป็นบัตรที่ใช้ซื้อของออนไลน์ได้ โดยติดต่อสอบถามได้ที่ธนาคาร แต่ละเจ้าจะไม่เหมือนกัน อย่างของผมใช้ของ กสิกร  ผมสมัครใช้ K-Cyber Banking และเปิดใช้ K-web shopping card  แล้วผมก็เอารหัสจาก shopping card มาใช้สมัคร Apple id
3. แต่ถ้าใช้ iPad สามารถสมัคร Apple id ได้ โดยไม่ต้องใช้บัตรอะไรเลย
4. การสมัครต้องใช้อีเมล์ ขอแนะนำให้ใช้ Gmail สมัคร อย่าใช้ Hotmail เพราะมันเป็นเมล์ที่มีปัญหาบ่อย และอาจกระทบต่อการใช้บัญชีของเราได้

วิธีการสมัคร

…ผมไม่ขออธิบายแล้วกันนะ ให้พิมพ์คำว่า “สมัคร Apple id” ลงใน Google มีคนบอกไว้เยอาะเลย

สรุป

1. ถ้าจะไปซื้อ ในวันที่จะไปซื้อให้เตรียมบัตรเดบิตหรือเคดิตไว้ หรือจะสมัครล่วงหน้าผ่านโปรแกรม iTune ก็ได้
2. ถึงเวลาไปซื้อบอกเขาว่าเอาเครื่องที่ไม่ลงแอพ ให้เป็นเครื่องแบบเพียวๆ
3. ในกรณีที่ใช้ iPad สมัครผ่าน App store จะได้ไม่ต้องใช้ บัตรอะไร  (แต่ถ้าจะซื้อแอพต้องใช้บัตร)
4. ทางที่ดี ปรึกษาเพื่อนที่ใช้อยู่ ลองถามเพื่อนที่เขาเคยซื้อแอพ จะได้ข้อมูลที่ดีกว่า