ย้อนไปตอน ม. 6 ในวิชาสังคมศึกษา อาจารย์ให้นักเรียนทุกคนออกมาออกมารายการตามหัวข้อต่างๆ แล้วให้เพื่อนในห้องตั้งคำถามมาหนึ่งข้อ แล้วเราต้องตอบ ผมได้เรื่อง “สงครามเวียดนาม”
สงครามเวียดนามเกิดในช่วง ค.ศ. 1957-1975 เป็นการรบกันระหว่างเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ เวียดนามเหนือเป็นคอมมิวนิสต์มีจีนเป็นผู้สนับสนุน ส่วนสหรัฐอเมริกาสนับสนุนเวียดนามใต้เป็นประชาธิไตย ผลของสงคราม เป็นที่รู้กันแล้วว่าเวียดนามเหนือเป็นฝ่ายชนะ และเวียดนามก็ยังเป็นคอมมิวนิสต์อยู่จนถึงทุกวันนี้
หลังจากที่พูดรายงานหน้าชั้นเสร็จ เป็นช่วงที่เพื่อนใครก็ได้ถามคำถามมาหนึ่งข้อ ทำไมสหรัฐอเมริกาถึงแพ้สงคราม ตอนนั้นผมตอบไปเพราะว่าไม่สามารถสู้ยุทธวิธีการรบแบบกองโจรของฝ่ายเวียดนามเหนือ และการกดดันให้ยกเลิกการทำสงครามครามจากประชาชนของสหรัฐอเมริกาเอง (เหตุผลที่แพ้มีเยอาะกว่านั้นนะ แต่ตำราเขียนไว้แค่นั้น)
..แต่อาจารย์บอกว่าผมตอบผิด เพราะคำตอบที่แท้จริงคือ “สหรัฐอเมริกาส่งเฮริครอปเตอร์มารับกองทัพกลับบ้าน” (ตอนนั้นอึ้งไปหนึ่งวิ เหมือนคนเล่นเกมส์แล้วถูกคอมโบจนติดสตั๊น!!) แต่ก็อาจจะเป็นคำตอบที่ถูกนะ คือถ้าอเมริกาไม่กลับบ้านก็ต้องรบต่อจนอาจจะชนะสงครามก็ได้ (-___-)
…ที่เล่ามา นี่แหล่ะการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ ในสมัยที่ผมอยู่ ม.ปลาย สอนกันแบบท่องๆจำๆ สาเหตุการแพ้สงครามมันมีที่ไหน แพ้เพราะกลับบ้าน
…ตอบแบบนี้เหมือนกลับบอกว่าฟุตบอลแพ้เพราะเพราะเสียประตูมากกว่า สอบตกเพราะกาผิด เพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลเพราะประชาชนเลือก คนต้องกินข้าวเพราะหิว
….ทั้งหมดเป็นคำตอบที่ถูกต้อง แต่ถามต่อว่าเราจะได้สาระอะไรจากคำตอบ คำตอบจะให้ประโยชน์อะไร ถ้าแค่รู้แต่ไม่ทำให้เกิดความคิด ไม่ทำให้คนเกิดการพัฒนาต่อ
ผมหลุดพ้นวงเวียนการเรียนการสอนแบบนี้หลังจากนั้นอีก 6 เดือน เข้าเรียนเอกประวัติศาสตร์ ม.มหาสารคาม วิชานี้เปิดโลกทัศน์การเรียนแบบใหม่ให้กับผม คือ คำตอบใดๆก็ตามมันไม่ได้อยู่ในหนังสือเสมอไป ความรู้คนเราค้นหาเพิ่มเติมได้ ไม่จำกัดว่าความจะมีอยู่แค่หนังสือเรียน อาจารย์สอนให้ผมคิดแบบหาเหตุผล คิดหาสาเหตุ แล้วนำมาวิเคราะห์ต่อ …นี่คือการเรียนการสอนที่ทำให้รู้จักคิด แต่เสียดายว่ากว่าจะได้เรียนแบบหัดคิดก็ปาเข้าไปตอนอยุ่มหาวิทยาลัย